การตัดสินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
1.
หมวดวิชาการศึกษาทั่วไปและหมวดวิชาเลือกเสรีพิจารณาการสอบผ่านใช้เกณฑ์
50 %
2.
หมวดวิชาเฉพาะ (กลุ่มวิชาพื้นฐานวิชาชีพและกลุ่มวิชาชีพ)
พิจารณาการสอบผ่านใช้เกณฑ์ 60 %
3.
การตัดเกรดให้ใช้คะแนนที่สอบได้ในครั้งแรก
4.
รายวิชาภาคทฤษฎี
ก่อนที่จะตัดเกรดนำคะแนนแต่ละส่วนแปลงเป็นคะแนนมาตรฐานแล้วจึงคูณด้วยหน่วยน้ำหนัก
(ตามที่กำหนดในประมวลรายวิชา)
5.
รายวิชาที่มีทั้งภาคทฤษฎีและภาคทดลอง
ให้ตัดเกรดแยกกลุ่ม
โดยการนำคะแนนแต่ละส่วนภาคทฤษฎีทั้งชั้นปีแปลงเป็นคะแนนมาตรฐานแล้วคูณด้วยหน่วยน้ำหนัก
ภาคทดลองให้นำคะแนนแต่ละกลุ่มแปลงเป็นคะแนนมาตรฐานแล้วคูณด้วยหน่วยน้ำหนัก ต่อจากนั้นนำคะแนนมาตรฐานภาคทฤษฎีคูณหน่วยน้ำหนักมารวมกับ คะแนนมาตรฐานภาคทดลองคูณหน่วยน้ำหนัก (หน่วยน้ำหนักสามารถพิจารณาจาก หน่วยกิต)
ภาคทดลองให้นำคะแนนแต่ละกลุ่มแปลงเป็นคะแนนมาตรฐานแล้วคูณด้วยหน่วยน้ำหนัก ต่อจากนั้นนำคะแนนมาตรฐานภาคทฤษฎีคูณหน่วยน้ำหนักมารวมกับ คะแนนมาตรฐานภาคทดลองคูณหน่วยน้ำหนัก (หน่วยน้ำหนักสามารถพิจารณาจาก หน่วยกิต)
6.
รายวิชาภาคปฏิบัติให้คำนวณคะแนนมาตรฐาน
(ที) แยกกลุ่ม เมื่อได้คะแนนทีทุกกลุ่มแล้ว นำมาตัดเกรดรวมกันทั้งชั้นเรียน
(ขณะตัดเกรดโดยโปรแกรมสำเร็จรูป ไม่ต้องคำนวณคะแนนจริงอีกครั้งแล้ว
เนื่องจากคะแนนทีคือคะแนนจริงนั่นเอง)
7.
การตัดเกรดโดยไม่ใช้โปรแกรมสำเร็จรูป
ควรเริ่มจากคะแนนมาตรฐาน T-score ที่ 50 หรือ Z-score
ที่ 0
8. เมื่อทราบจำนวนเกรดและเกรดสูงสุดหรือต่ำสุดแล้ว
ดำเนินการตัดเกรดโดย
8.1 หาพิสัยของคะแนนของกลุ่มโดยคำนวณจาก (คะแนนมาตรฐานสูงสุด-คะแนนมาตรฐานต่ำสุด)
8.2
หาช่วงแต่ละเกรดโดยช่วงคะแนนพิสัยของกลุ่ม ¸ จำนวนเกรด
8.3 กำหนดเกรดโดยแต่ละเกรดมีช่วงคะแนนตามข้อ
3.4.2 โดยพิจารณาเป็น
2
กรณี
- จำนวนเกรดเป็นเลขคี่ (3,5,7 เกรด) ให้เกรดกึ่งกลางคลุมคะแนนกึ่งกลาง
T 50 ± (ช่วงเกรด ¸2)
- จำนวนเกรดเป็นเลขคู่ (2,4,6,8 เกรด) ให้แบ่งหรือตัดเกรดจากคะแนน
กึ่งกลาง
หรือเฉลี่ย คือ T
= 50 (หรือ Z = 0)
หมายเหตุ :
1. กรณีตัดเกรดแยกกลุ่มกัน จำนวนเกรดในแต่ละกลุ่มต้องเหมือนกันทั้งรายวิชา
2. ถ้าจำนวนนักศึกษาน้อยกว่า 10 คน
ให้แปลงคะแนนดิบเป็น Z-score ก่อนจึงแปลงเป็น T-score (สูตรการคำนวณอยู่ภาคผนวก)
3. หากพิจารณาแล้วเกรดยังไม่เหมาะสม สามารถปรับช่วงคะแนนในการตัดเกรดได้
โดย พิจารณาคะแนนดิบประกอบ
4. กำหนดจำนวนเกรดที่จะให้สำหรับผู้เรียนกลุ่มนี้
โดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
4.1
ความแตกต่างของคะแนนโดยพิจารณาค่าช่วงของคะแนนสูงสุดและต่ำสุด
4.2 ความสามารถของกลุ่มผู้เรียน
4.3 ความมุ่งมั่นตั้งใจในการเรียน
4.4 ความจริงใจตั้งใจของผู้สอน
5. กำหนดเกรดสูงสุดและต่ำสุด
เมื่อกำหนดจำนวนเกรดได้แล้ว เช่น 3 เกรดให้พิจารณา
ต่อไปว่าควรเป็น A, B+, B หรือ B+,B, C+ หรือ D, F หรืออีกนัยหนึ่งพิจารณาว่าเกรดสูงสุดของกลุ่มควรเป็นอย่างไร
A หรือ B หรือ C และเกรดต่ำสุดควรเป็น
D หรือ F
6. กรณีที่ T สูงสุดหรือ T ต่ำสุด กระเด็นออกจากการกลุ่มมาก ให้ตัดออก แล้วใช้ T สูงสุดและT ต่ำสุดในลำดับถัดมาหาช่วงคะแนนของเกรด