บทที่7
การประเมินเพื่อปรับปรุงการสอน
การประเมินเพื่อปรับปรุงการสอน (Evaluation to
improve Teaching E :) การประเมินการเรียนรู้ของตนเอง
โดยกำหนดค่าคะแนนจากการวิเคราะห์การประเมินการเรียนรู้ด้านความรู้ (Cognitive
Domain) ของบลูม (Bloom’s Taxonomy) การประเมินตามสภาพจริงและการประเมินจากแฟ้มสะสมงาน
เป็นการตรวจสอบการบรรลุจุดหมายการเรียนรู้
การประเมินเพื่อปรับปรุงการสอนมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยให้มีความเข้าใจและทักษะในการทบทวนตนเองหลังการสอน
ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ทั้งก่อนเรียนการสอน ระหว่างการสอน และหลังสอนจบบทเรียนแล้ว
การจัดกระบวนการพัฒนาการสอนเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน Glickman (2002) เสนอแนวคิดในการพัฒนาโดยใช้วิธีจัดองค์กรความรู้ด้านวิชานชีพ
ดังภาพประกอบที่ 6
ภาพประกอบที่ 6 องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน
ที่มา Glickman, Carl D (2002) Leadership for learning how to help
teachers succeed นักแปลเครือข่ายของวิชาการ 2546 : 120
องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน
วงกลมชั้นที่
1 องค์ประกอบที่มีผลโดยตรงต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน
ซึ่งการเรียนรู้ของผู้เรียนที่อยู่ในในกลางภาพ เป็นจุดศูนย์รวมของกิจกรรมทุกอย่างในชั้นเรียนและโรงเรียน
การเรียนรู้ของผู้เรียนได้รับอิทธิพลโดยตรงจากองค์ประกอบที่อยู่ในวงกลมชั้นที่
ประกอบด้วยหลักสูตร-เนื้อหาของสิ่งที่สอน วิธีการสอน-ที่ใช้ และการวัดผล(แบบวินิจฉัย)การเรียนรู้ของผู้เรียน
Glickman (1998) เสนอแนะว่า
ให้ดูจุดศูนย์การของวงกลมต่าง ๆ ที่มีจุดศูนย์กลางร่วมกัน ศูนย์กลางคือเป้าหมาย
วงกลมในสุดเป็นความพยายามของชั้นเรียนและโรงเรียนที่จะพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นแก่ผู้เรียนทุกคน
วงกลมชั้นที่ 1 การเรียนรู้ของผู้เรียนสัมพันธ์กันโดยตรงกับ
เนื้อหาที่นำมาสอนวิธีการสอน และกลวิธีที่นำมาใช้ในการประเมิน
วงกลมชั้นที่ 2 องค์ประกอบซึ่งจัดระบบภาระงานของผู้นำ (การเรียนรู้) ที่ทำต่อครูผู้สอน
ซึ่งการปรับปรุงการสอนในชั้นเรียนประกอบด้วย จุดมุ่งเน้น (ต้องใส่ใจมนเรื่องใดบ้างในการปรับปรุงการสอน
การสังเกตชั้นเรียน และการใช้ข้อมูล ผลสัมฤทธิ์
และพิจารณาตัวอย่างชิ้นงานของผู้เรียน)
จากภาพวงกลมชั้นที่
2 จุดศูนย์กลางเดียวกันกับวงกลมแรกเพื่อพัฒนาคุณภาพการสอนในนชั้นเรียนมุ่งที่จุดเน้นที่ผู้สอนกำหนดให้เป็นเป้าหมายการเรียนรู้
ต่อมาพิจารณาแนวทาง-วิธีการดำเนินการระหว่างบุคล(วิธีการสังการและควบคุม วิธีการสั่งการและควบคุม
วิธีการสั่งการและให้ข้อมูล วิธีการแบบร่วมคิดร่วมทำ และวิธีการสั่งการ) ซึ่งจะใช่กับครูที่จัดการสอนในชั้นเรียนโดยตรง
วงกลมชั้นที่ 3 องค์ประกอบซึ่งส่งเสริมให้การดำเนินงานครอบคลุมบริบทการปรับปรุงการสอนประกอบด้วย
ลำดับความสำคัญในการปรับปรุงโรงเรียน
ที่ได้จากวิสัยทัศน์ของโรงเรียนและความจะเป็นเร่งด่วนในการพัฒนาโรงเรียน
แผนการสอนพัฒนาวิชาชีพ ทรัพยากรและระยะเวลา
และการประเมินผลวิธีการและสิ่งที่ผู้เรียนกำลังเรียนรู้อยู่
และวิธีการใช้ข้อมูลจากการประเมินแนวทางในการดำเนินงานจำเป็นเร่งด่วนของโรงเรียนต่อไป
จากภาพวงกลมชั้นที่
3 อิทธิพลที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงการเรียนการสิน
ซึ่งเป็นของกระบวนการปฎิรูปการพัฒนาการเปลี่ยนแปลงโรงเรียนทั้งหมดที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
ที่เป็นลำดับความสำคัญในการปรับปรุงโรงเรียน
Glickman, Carl D
(2002) นักแปลเครือข่ายของวิชาการ 2546 : 131 สรุปคำถามนำเพื่อเชื่อมโยงความสัมพันธ์กับภาพองค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน
ดังต่อไปนี้
1.เป้าหมายของโรงเรียนคืออะไร
จะบรรลุเป้าหมายของโรงเรียนได้อย่างไร และใช้เป้าหมายนี่อย่างไร (ช)
2.แผนพัฒนาวิชาชีพครูที่สอดคล้องกับเป้าหมายของโรงเรียนคืออะไร
แผนนี้เปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกตรวจสอบการสอนของผู้สอนและการเรียนของผู้เรียนได้อย่างไร
(ฌ)
3. ประเมินความก้าวหน้าทั้งหมดมุ่งสู่เป้าหมายการเรียนรู้ของผู้เรียนทั้งโรงเรียนได้อย่าง
(ญ)
4. อะไรคือจุดมุ่งเน้นในการสอนและการเรียนรู้ที่ผู้สอนทุกคนต้องปฏิบัติ (จ)
5. จะใช้รูปแบบการนิเทศแบบใด
(แบบคลินิกแบบเพื่อนแนะเพื่อนแบบกลุ่มวิจัย ฯลฯ ) และเครื่องมือใด (การสังเกตผลงานที่ได้รับมอบหมายการปฏิบัติแฟ้มผลงาน
ฯลฯ ! (ช)
6. จะใช้วิธีการอะไรในการทำงานร่วมกับผู้อื่น
(แบบไม่สั่งการแบบร่วมคิดร่วมทำแบบสั่งการและให้ข้อมูลแบบสั่งการและควบคุม) (ฉ)
7. ผู้สอนแต่ละคนจะมีการปรับเปลี่ยนอะไรในการประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน
(ง)
8 ผู้สอนแต่ละคนจะเปลี่ยนแปลงวิธีการสอนอย่างไร
(ค)
9. ผู้สอนแต่ละคนจะเปลี่ยนเนื้อหาที่สอนอย่างไร
(ข)
การใช้คำถามนำนี้จะต้องคิดพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบอาจด้วยตนเองหรือร่วมกันในการวางแผนเพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการสอนพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ความเชี่ยวชาญในวิชาชีพและการ
พัฒนาการศึกษาให้สูงขึ้นเป็นที่น่าพึงพอใจ
Glickman,Anthony
(1998) กล่าวสรุปไว้ว่า การเรียนการสอนนั้นสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ด้วยการทบทวนตนเองกระบวนการทบทวนตนเองทำให้ครู
เข้าใจการสอนของตัวเองเข้าใจวายและอะไรได้น้อยช่วยให้ตัดสินใจอย่างฉลาดและเข้าใจความหมายของโรงเรียนได้กระบวนการในการทบทวนตนเองจะก้าวหน้าไปได้ต้องอาศัยก
2017 และแรงสนับสนุนการทบทวนตนเองหลังการสอนคนใดคนหนึ่งเป็นการส่วนตัวตามลำพังแต่เป็นการสร้างองค์ก็วามรู้ที่มีศักยภาพและมีความมั่นใจในการทำงานการทบทวนตนเองเป็นกวิสัยทัศน์มองเห็นภาพการเรียนการสอนที่ดีและประคับประคองกระบวนการทบทวนตนเองจะต้องปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอการจะปอย่างสม่ำเสมอและการทบทวนตนเองหลังการสอนเป็นเรือและโรงเรียนปฏิบัติอยู่เป็นการถามถึงวิธีการและเป้าหมายของการสอนของตัวเองเข้าใจว่าอะไรสามารถทำได้ยางฉลาดและเข้าใจความหมายของสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องเรียนและใน2หน้าไปได้ต้องอาศัยกรอบโครงสร้างที่ดีความท้าทายของการเรียนรู้จากประสบการณ์ของใครงองค์ความรู้ที่มีศักยภาพที่จะช่วยให้ครูรู้แจ้งเห็นจริงตนเองเป็นกระบวนการที่สร้างสรรค์สามารถช่วยให้ครู
2 กองและทะนุบางเขนภาพที่ดีเช่นนั้นไว้ได้การจะปฏิบัติให้ได้ประโยชน์สุงสุดชะต้องปฏิบัติ
3 สอนเป็นเรื่องเกี่ยวกับการตั้งข้อสงสัยเรียบพระสงที่อยกชการและเป้าหมายของการศึกษา
Schon, (1983)
อธิบายว่า การใช้ความคิดระหว่างการสอน "(ทบทวนตนเองหลังการสอน” ได้มองย้อนหลังไปคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอธิบายว่าการใช้ความคิดพิจารณาระหว่างการเรียนการสอนเรียกว่า
“ การทบทวนตนเองระหว่างการสอน (reflection on acttion) ส่วนการคิดใตร่ตรองหลังการเรียนการสอนเรียกว่า“
การหลังการสอน” (reflection on practice) ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ได้จบลงแล้ว
เมื่อครูได้มองย้อนหลังไปคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
การทบทวนตนเองหลังการสอนที่มีคุณภาพ
การทบทวนตนเองหลังการสอนเป็นกระบวนการที่เหมาะกับการปฏิบัติงานในอาชีพเพราะเป็นกระบวนการที่ควรปฏิบัติ
เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์กระบวนการนี้มิใช่จะจำเป็นเฉพาะกับการสอนที่ดีเท่านั้นแต่ยังเป็นความจำเป็นพื้นฐานสำหรับมนุษย์ด้วย
บอเมสเตอร์ (Baumeister, 1991) กล่าวว่าชีวิตมีความหมายเมื่อเราสนองความต้องการ
4 ประการเหล่านี้ได้แก่ 1) ด้านวัตถุประสงค์ 2) ด้านค่านิยม 3) ด้านประสิทธิผลและ
4) ด้านความพึงพอใจในตนเองการทบทวนตนเอง
หลังการสอนช่วยให้เราเข้าใจการเรียนการสอน
คำว่า“ การทำความเข้าใจ Weick, (1995)
กล่าวว่าการทำความเข้าใจเป็นความคิดและกระบวนการที่ซับซ้อน
“ ความเข้าใจ” ยังหมายถึง การเพิ่มความระมัดระวังในการมีปฏิสัมพันธ์ในกลุ่มและในสภาวะแวดล้อมที่เราสอนชั้นเรียนของเราเป็นสภาวะแวดล้อมของการเรียนการสอนที่พิเศษ
เพราะเราสร้างสภาวะแวดล้อมขึ้นมาและเราก็สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้แต่อย่างไรก็ตามสภาวะแวดล้อมก็มีผลกับวิธีการสอนของเราด้วยเช่นในห้องเรียนขนาดเล็กและแออัดกิจกรรมที่ทำได้ก็จะเป็นเพียงประเภทที่ไม่ต้องใช้โต๊ะ
“ ความเข้าใจ”
มิได้เป็นเพียงกระบวนการสนทนากับตัวเองเกี่ยวกับเรื่องการสอนเท่านั้นแต่เกี่ยวข้อง“
นการให้ความรู้จากการสนทนากับเพื่อนด้วยกันและเปลี่ยนประสบการณ์กันและกันกระบวนการนี้เปกระบวนการต่อเนื่องที่ต้องการความเป็นหินชาต่อเนื่องที่ต้องการความเป็นคนช่างสังเกตต้องสังเกตความเป็นไปในอาชีพถ้าเห็นว่ามีอะไรหตุผลมาอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นได้เช่นต้องสังเกตเห็นว่าเด็กคนไหนพูดคุยกันอยู่ตลอดเวลาคนไหนรักการอ่านตนไหนเก่งทดลองวิทยาศาสตร์และคนไหนใช้เครื่องเกิดขึ้นต้องหาเหตุผลมาอธิบายเนเด็กคนไหนจับดินสอไม่ถูกวิธีคนบันทึกเทปได้เก่ง
ภาพประกอบที่ 7
การทำความเข้าใจ การทบทวนตนเองหลังการสอน ผลลัพธ์ที่มีคุณค่า
ปรับจาก Anthony Ghaye and Kay Ghaye (1998) Teaching and learning through critical reflective
practice อุสุมาชื่นชมพูผู้แปล 2546: 22)
รูปแบบการสะท้อนความคิดนี้ มีลักษณะเด่น
4 ประการคือเป็นวงจรมีความยืดหยุ่นมีประเด็นที่เน้นและมีลักษณะเป็นองค์รวม
1.
มีลักษณะเป็นวงจรการทบทวนตนเองและการปฏิบัติเป็นกระบวนการที่ดำเนินต่อเนื่องกันเป็นวงจรเมื่อกระบวนการเริ่มแล้วจะไม่มีการถอยหลังกลับไปสู่จุดเริ่มต้นพูดให้ชัดเจนยิ่งขึ้นก็คือการทบทวนตนเองหลังการสอนจะนำเราไปสู่วงจรใหม่ที่ปรับปรุงแล้วต่อไป
2.
มีความยืดหยุ่นรูปแบบที่จะนำใช้จำเป็นจะต้องมีความยืดหยุ่นจะต้องไม่เป็นแบบที่มีลักษณะเป็นขั้นตอนเหตุผลที่เป็นเช่นนี้มีอยู่
2 ประการคือ
ประการแรกการทบทวนตนเองหลังการสอนมีจุดเริ่มต้นที่แตกต่างกันเช่น
ครูคนหนึ่งอาจจะเริ่มต้นเมื่อเกิดความรู้สึกคับข้องใจที่ไม่สามารถใช้วิธีการที่ตนเองต้องการเพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนได้เนื่องจากเพื่อนร่วมงานมีความแตกต่างกันออกไปพวกเขาไม่เข้าใจว่าวิธีการนี้จะใช้ให้สัมฤทธิ์ผลได้อย่างไร
ครูอีกคนหนึ่งอาจคิดทบทวนสิ่งซึ่งเขาได้ทดลองใช้กับนักเรียนของเขา
(งานเนยนองไม่ได้ผลครูอีกคนหนึ่งอาจเริ่มจากสิ่งที่เขาเชื่อว่าจำเป็นต้องใช้และนักเรียนทำร่วมกัน)
และคิดว่าเหตุใดจึงไม่ได้ผลครูอีกคนหนึ่งอาจเริ่มจากสิ่งที่เขาเชื่อว่าจำเป็นต้องใช้ (เขาต้องการเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์เพิ่มเพื่อพัฒนาคุณภาพการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียน)
แต่ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถหามาได้
ประการที่สองรูปแบบการทบทวนตนเอง
ต้องมีความยืดหยุ่นเพื่อให้สอดคล้องกับวิธีการวรปรับปรุงการเรียนการสอน
ไม่จำเป็นต้องดำเนินไปในรูปแบบที่คงที่และมีขั้นตอนเป็นลำดับ เช่น
ครูคนหนึ่งอาจเลือกที่จะทบทวนวิธีการสอนของเขาก่อนสิ่งหนึ่งที่เขาอาจจะเรียนรู้จากการทบทวนตนเองก็คือเขาเปิดโอกาสให้เด็กได้คิดเองทำเองน้อยเกินไปเขามักจะคอยชี้แนะควบคุมและสอนหรือบอกเด็กตรง
ๆ เมื่อรู้เช่นนี้เขาอาจลองทบทวนค่านิยมหรือความเชื่อของตนเอง
(หากต้องการเปลี่ยนแปลงวิธีสอน)
แล้วหลังจากนั้นอาจจะทบทวนต่อไปว่าจะปรับปรุงการสอนและการเรียนรู้ของเด็กอย่างไร
ครูคนอื่นอาจจะเริ่มที่การทบทวนถึงสภาวะแวดล้อมซึ่งก็คือโรงเรียนที่เขาสอนโรงเรียนอาจจะตั้งอยู่ในย่านยากจนชานเมืองความสัมพันธ์ระหว่างครูและผู้ปกครองอาจจะไม่ค่อยมีในกรณีเช่นนี้ควรจะต้องมีการพัฒนาความสัมพันธ์กับชุมชนและโรงเรียนจะต้องเพิ่มบทบาทของตนเองต้องหาเงินเพิ่มขึ้นเพื่อพัฒนาบุคลากรเป็นต้นจากการทบทวนสภาวะแวดล้อมอาจจะตามมาด้วยการพิจารณาว่าสภาวะแวดล้อมมีผลกระทบต่อการสอนได้อย่างไรบ้างซึ่งอาจจะย้อนไปสู่เรื่องค่านิยมของครูและโรงเรียนในภาพรวมดังนั้นค่านิยมการปฏิบัติการปรับปรุงและสภาวะแวดล้อมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องทบทวนส่วนลำดับขั้นตอนในการคิดนั้นแตกต่างกันออกไปในแต่ละบุคคล
3.
มีประเด็นที่เน้นการมีความยืดหยุ่นมิได้หมายความว่าจะคิดวกวนอยู่กับปัญหาเกี่ยวกับการสอนหรือวิตกกังวลในเรื่องดังกล่าวโดยหวังว่าครูจะพบทางออกเองการคิดจะต้องมีประเด็นที่เน้นและมีทิศทางเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่มีความหมายในการนี้ควรใช้รูปที่
1. 1 เป็นแผนที่เพื่อช่วยชี้ทิศทางและจำกัดความสนใจรูปแบบดังกล่าวจะช่วยให้เห็นทิศทางโดยรอบและเห็นหนทางต่าง
ๆ
ที่อยู่เบื้องหน้าช่วยให้เข้าใจจุดสำคัญทางการศึกษาที่จำเป็นจะต้องสำรวจรูปแบบนี้มีส่วนที่ควรจะพิจารณา
4
จุดคือค่านิยมการปฏิบัติรับปรุงและสภาวะแวดล้อมโดยครูจะเลือกพิจารณาจุดใดก็ได้ขึ้นอยู่กับความสนใจแผนการพัฒนาอาชีพของตนเองและปัญหาต่าง
ๆ
4.
มีลักษณะเป็นองค์รวมจากรูปนี้เราจะมองเห็นการเรียนการสอนภาพรวมเห็นการเชื่อมโยงค่านิยมในวิชาชีพเข้ากับการปฏิบัติการเชื่อมโยงการสอนเข้ากับความตั้งใจของครูที่จะพัฒนาการเรียนรู้และพัฒนาอาชีพทำให้ครูเห็นว่าไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดของรูปแบบนี้ทํางานอยู่ในสภาพหยุดการเปลี่ยนแปลง
แต่เป็นการทำงานอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงและมักจะมีความไม่แน่นอนรามอยู่ด้วย
การประเมินเพื่อปรับปรุงการสอน
การประเมินการเรียนรู้จะต้องให้ข้อมูลย้อนกลับว่าการจัดการเรียนรู้บรรลุพันธกิจหรือไม่มีครนจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนอะไรบ้างเพื่อการบรรลุเป้าหมายของโปรแกรมการศึกษาการประเมินเพื่อพัฒนาประสิทธิผลในการจัดการเรียนรู้เขียนเป็นแผนภาพได้ดังนี้
ภาพประกอบที่ 8
วัฎจักรการประเมินเพื่อพํฒนาประสิทธิภาพในการจัดการเรียนรู้
Ghaye. (1995)
เสนอแนวคิดการปรับปรุงคุณภาพการศึกษาในโรงเรียน จะต้องพิจารณาคำถาม 5 ข้อคือ 1.คำถามที่เกี่ยวกับเวลา
การปรับปรุงควรจะเกิดขึ้นเมื่อไร
ผลของการปรับปรุงควรจะได้ผลอย่างชัดเจนเมื่อไร
2.
คำถามเกี่ยวกับขนาดของงาน
ขอบเขตของการปรับปรุงควรมีขนาดเท่าไรเพียงใด
ผู้เกี่ยวข้องมีกคนจะต้องใช้ทรัพยากรอะไรบ้าง
ผลของการปรับปรุงที่คาดการณ์ไว้มีลักษณะอย่างไรมีความสำคัญเพียงใด
3.
คำถามเกี่ยวกับความไม่แน่นอน
จะแน่ใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมการปฏิบัติแรงจูงใจหรือทิศทางใหม่เป็นการปรับปรุงจริง
ๆ
จะตรวจสอบจากหลักฐานได้ว่ามีการปรับปรุงเกิดขึ้นแล้ว
มีความเข้าใจในความเกี่ยวโยงกันระหว่างสิ่งที่รู้สึกว่าพัฒนาแล้วกับการพัฒนาที่ชัดเจนเมื่อมองในแง่ของคุณภาพการศึกษาในโรงเรียน
การพัฒนาที่เกิดขึ้นนั้นเป็นจริงหรือเป็นเพียงจินตนาการ
4.
คำถามเกี่ยวกับการเมืองในโรงเรียน
การเมืองในโรงเรียนมีความสำคัญต่อความพยายามในการปรับปรุงเนื่องจากการปรับปรุงมีแนวคิดพื้นฐานมาจากค่านิยมและเป็นกระบวนการที่มีระบบบุคคลในองค์กรจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันและต้องการที่จะปฏิบัติตามแนวคิดของตนการเข้าใจการเมืองที่อยู่เบื้องหลังความพยายามในการปรับปรุง-เท่ากันยอมรับว่าในโรงเรียนย่อมมีการช่วงชิงกันระหว่างกลุ่มผลประโยชน์การทบทวนจะทำให้เกิดคำถามเชิงการเมืองเพราะการปรับปรุงเกี่ยวกับ“
ผลประโยชน์”“ อำนาจ”
และการแก้ปัญหาเรื่องความขัดแย้งเมื่อมีการปรับปรุงค้าถามคือใครจะได้ผลประโยชน์อะไรที่ไหนอย่างไรเมื่อไรและเพราะเหตุใด
5.
คำถามเกี่ยวกับการลงลึกในการปฏิบัติการ
ถ้าการปรับปรุงมีจุดอ่อนและมีแรงกดดันจากภายนอกการปรับปรุงก็จะมีลักษณะหานนวยจนทำให้ละเลยสิ่งที่เป็นรากฐานที่ควรให้ความสนใจสิ่งสำคัญจะต้องทำความเข้าใจว่าการปรับปรุงโรงเรียนและการปฏิรูปในโรงเรียนแตกต่างกันโดยที่การปฏิรูปมีผลลึกซึ้งและเป็นการปรับปรุงคุณภาพการศึกษาที่มีผลกระทบต่อทุกคนในองค์กรการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งนี้มักจะเกิดจากการรปรับปรุงโครงสร้างและอิทธิพลทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน
การเน้นที่การพัฒนาภายในมากเกินไปจะไม่นำไปสู่การปฏิรูป
การปฏิรูปการประเมินที่ประสบความสำเร็จจะต้องมีความชัดเจนของจุดมุ่งหมาย
จุดมุ่งหมายในการเรียนรู้เป็นข้อความเกี่ยวกับการศึกษาที่แสดงถึงความมุ่งมั่น
/ เจตนาที่ตั้งใจให้เกิดขึ้นเช่น ความสามารถในการแก้ปัญหา
ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ทักษะด้านการสร้างสรรค์ และนวัตกรรมเป็นต้น
วัตถุประสงค์การเรียนรู้เป็นข้อความที่มีความเฉพาะให้รายละเอียดที่ได้มาจากจุดมุ่งหมายใช้เขียนบรรยายพฤติกรรมหรือกิจกรรมที่ผู้เรียนจะต้องกระทำ
เช่น ผู้เรียนจะต้องมีความสามารถในการรวบรวมจัดการ และวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ในการตัดสินใจ
ผู้เรียนสามารถวิเคราะห์เชื่อมโยงข้อมูล
ผลการเรียนรู้ เป็นชุดรายละเอียดที่ผู้เรียนสามารปฏิบัติได้หลังจากได้เรียนในรายวิชาหรือหน่วยการเรียนในหลักสูตรรายวิชาผลการเรียนรู้จะต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสำเร็จขั้นต่ำของผู้เรียนที่แสดงออกเป็นรูปธรรมได้
ความสัมพันธ์ของจุดมุ่งหมายวัตถุประสงค์และผลการเรียนรู้เขียนในรูปวัฏจักรการประเมินการเรียนรู้สรุปได้ดังภาพประกอบต่อไปนี้
ภาพประกอบที่ 9 วัฐจักรการประเมิน
รูปแบบการประเมินผลสัมฤทธิ์แนวทางการประเมินการเรียนรู้ตามแนวคิด
Outcome Driven Model
การตรวจสอบความเข้าใจและการสรุปความรู้ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการจัดการเรียนรู้ใช้เนินการเรียนรู้ตามแนวคิด
Outcome Driven Model
ที่มาปรับจาก Designing and using tools for
educational assessment Pet Arson Chatters. 51 Education,
Irc. p. 30
หลักการประเมินผลการเรียนรู้
การประเมินผลการเรียนรู้นั้นควรจะเป็นกระบวนการที่มีหลักการมารองรับเสมอควบคุมกระบวนการการประเมินผลการเรียนรู้มีดังต่อไปนี้
1.
การประเมินผลต้องมีคตามจุดประสงค์การสอนที่ชัดเจนการประเมินลักษณะของผู้เรียนองค์ประกอบอื่น
ๆ ด้านการเรียนการสอนนั้นต้องมีคตามจุดประสงค์การสอนโรงเรียนของชาติองค์ประกอบสำคัญของกระบวนการทางการศึกษาความหมาะสมและความก้าวหน้าและพัฒนาการของผู้เรียนควรเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก
2.
ขั้นตอนและเทคนิคในการประเมินผลควรเลือกตามจุดประสงค์ในการประเมินการประเมินผลควรมีการนำเอาองค์ประกอบที่เกี่ยวกับผลการปฏิบัติของผู้เรียนที่เฉพาะเจาะจงตามที่ระบุไว้ในจุดประสงค์มาพิจารณาเพื่อเลือกขั้นตอนในการประเมินผลที่เกี่ยวข้องและเหมาะสม
3. การประเมินผลควรเป็นที่เข้าใจได้การประเมินผลควรจะครอบคลุมองค์ประกอบต้านความก้าวหน้าของผู้เรียนอย่างกว้างขวางควรจะประเมินพัฒนาการของนักเรียนในผลการเรียนรู้ประเมินผลไม่ควรจะยึดตามการพัฒนาทางปัญญาเช่นความรู้ความเข้าใจทักษะการคิดเท่านั้นแต่ความจะรวมถึงการพัฒนาด้านจิตใจและทักษะเช่นการปรับเปลี่ยนทัศนคติพฤติกรรมและการปฏิบัติจริงอีกด้วย
4.
การประเมินผลควรทำอย่างต่อเนื่องการประเมินผลควรทำอย่างต่อเนื่องเพื่อควบคุมและประเมินพัฒนาการของผู้เรียนการประเมินผลควรจะทำคู่ขนานไปกับกระบวนการในการศึกษาที่ผู้เรียนได้รับการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
5.
การประเมินผลควรระบุจุดอ่อนจุดแข็งและใช้งานได้กระบวนการประเมินสามารถที่จะเจาะลึกถึงธรรมชาติของสถานการณ์การเรียนการสอนได้เช่นเดียวกับสาเหตุของปัญหาที่ขัดขวางประสิทธิภาพของกระบวนการการเรียนรู้และพัฒนาการที่เหมาะสมของนักเรียนในชั้นเรียนควรจะให้ข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาการเรียนการสอนและองค์ประกอบอื่น
ๆที่ก่อให้เกิดบรรยากาศในชั้นเรียนที่ดีอย่างไรก็ตามข้อมูลที่รวบรวมผ่านกระบวนการการประเมินผลไม่ควรที่จะนำมาใช้เพื่อเก็บบันทึบเพียงอย่างเดียวแต่ควรถูกนำมาใช้ประยุกต์หรือตอบสนองเพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนวิธีการสอนและเรื่องอื่น
ๆที่เกี่ยวข้องที่จะส่งผลต่อการเรียนการสอนในชั้นเรียน
6.
การประเมินผลควรเป็นความพยายามร่วมกันการประเมินผลไม่ควรจะเป็นการทำงานของบุคคลเพียงไม่กี่คนโดยควรจะเป็นความพยายามร่วมกันของทุกคนที่เกี่ยวข้องในการเรียนการสอนหลักสูตรของโรงเรียนเพื่อให้การประเมินผลมีประสิทธิภาพและประสบผลสำเร็จผู้บริหารครูผู้ปกครองและตัวผู้เรียนเองแม้กระทั่งคนในชุมชนหากจำเป็นควรจะทำงานร่วมกันเพื่อการประเมินผลการและความก้าวหน้าของผู้เรียนที่ดีขึ้น
7.
การประเมินผลควรจะมีความละเอียดรอบคอบต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำให้การในผลให้ผลที่สมบูรณ์แบบผลการประเมินไม่ได้ให้ข้อมูลโดยตรงเสมอไปเพราะเครื่องมือที่ใช้ในการเงินผลไม่ได้มีความแม่นยำที่สุดอยู่ตลอดเวลาดังนั้นในการประเมินผลการตัดสินที่รอบคอบและเฉียบขาดจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
การประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตร
นิยาม“
การประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตร
การประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตร
(Curriculum Based Assessment: CBA) คือการให้ผู้เรียนเรียนรู้ตามกิจกรรมที่ออกแบบให้สอดคล้องกับหลักสูตรที่ใช้จากนั้นนำผลการทดสอบไปใช้ปรับปรุงการเรียนการสอนให้ตอบสนองความต้องการจำเป็นของนักเรียนผู้สอนนำผลการประเมินตามหลักสูตรมาใช้เพื่อปรับเปลี่ยนการสอนของตนเองเพื่อช่วยผู้เรียนให้พร้อมที่จะเรียนเรื่องต่อไปหรือกรณีที่ผู้เรียนที่มีความพร้อมและต้องการก้าวหน้ายิ่งขึ้นนักการศึกษาใช้การประเมินตามหลักสูตรเพื่อช่วยให้อัตราการพัฒนาการเรียนการสอนสูงขึ้นได้รวมถึงการปรับปรุงสือการเรียนการสอนด้วยการสังเกตและบันทึกการปฏิบัติของนักเรียนตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตรสถานศึกษาข้อมูลต่าง
ๆ ที่เก็บรวบรวมได้จะช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับการเรียนการสอน (Deno, 1987, p. 41). ในการประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรนั้นการตัดสินใจเกี่ยวกับการสอนขึ้นอยู่กับข้อมูลย้อนกลับที่ได้จากการประเมินความสามารถของผู้เรียนที่ระบุไว้ในหลักสูตรเป้าหมายแรกคือแนวทางในกระบวนการตัดสินใจเกี่ยวกับการเรียนการสอน
(Blankenship. 1985; การGraden,
Zins, & Curtis, 1988: Marston & Magnusson, 1985)
ทั้งนี้เพื่อให้การเรียนสอนตรงกับความต้องการของผู้เรียนอันเป็นการเพิ่มโอกาสที่ประสบความสำเร็จในการเรียนรู้
การประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรมีจุดเด่นที่บอกถึงภาระงานใดที่ช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาความสามารถตามที่หลักสูตรกำหนดการเลือกภาระงานและกระบวนการใช้คะแนนมาตรฐานและการบริหารใช้การประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรอย่างไรนั้นก็แล้วแต่สถานการณ์อาจใช้ข้อมูลที่ได้จากการประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรให้โปรไฟล์ของผู้เรียนได้ทั้งในระดับรายบุคคลระดับชั้นเรียนระดับสถานศึกษาและเขตพื้นที่การศึกษานอกจากนี้ข้อมูลจากการประเมินตามหลักสูตรสามารถใช้เป็นกลุ่มเปรียบเทียบ
(norma-referenced manner) ที่ใช้เปรียบเทียบคะแนนของผู้เรียนรายบุคคลมา
(Shinn, 1958) หรือปรียบเทียบ (criterion-referenced
inunner) ความสามารถของผู้เรียนอันเป็นผลมาจากการเรียนใช้เป็นเกณฑ์เปรียบเทียบ
(criterion-referenced Imaาการสอนที่สัมพันธ์สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน
(Shinn & Good, 1992)
การประเมินผลการเรียนรู้ในระดับอุดมศึกษากรอบที่ใช้ในการอ้างอิงทฤษฎีและแนวปฏิบัติที่เป็นแหลักการประเมินผลและการประเมินผลการเรียนรู้ในระดับอุดมศึกษากรอบที่ใช้ในการเวิจัยบางเดวิดนิโคล
(David Nicol University of Strathclyde สรุปเป็นหลักการประมงการให้ข้อมูลย้อนกลับที่ดี
10 ข้อ ดังนี้
1. ให้ความชัดเจนว่าการปฏิบัติงานที่ดีเป็นอย่างไร
(เป้าหมายเกณฑ์การวัดเลยขอบเขตของสิ่งที่ผู้เรียนต้องทำในหลักสูตรมีความสัมพันธ์กับเป้าหมายของเกมระหว่างและหลังการประเมินผลแค่ไหน
2.การวัดเกณฑ์มาตรฐาน)
ปาหมายของเกณฑ์และมาตรฐานก่อนเวลาและความพยายาม
"กับการเรียนรู้สิ่งที่ท้าทายขอบเขตของงานที่มอบหมากระตุ้นการเรียนรู้ทั้งในและนอกชั้นเรียนอย่างลึกซึ้งแค่ไหน
3. ให้ข้อมูลย้อนกลับคุณภาพสูงที่จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ตรวจสอบความถูกต้องได้ด้วยตนเองผู้สอนให้ข้อมูลย้อนกลับหรือไม่อย่างไรและความคิดเห็นดังกล่าวมีส่วนช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และปรับปรุงด้วยตนเองได้อย่างไร
4. สร้างความเชื่อที่เป็นแรงบันดาลใจและความเคารพตนเองในทางบวกขอบเขตของการประเมินและการให้ข้อมูลย้อนกลับสามารถสร้างแรงจูงใจในการเรียนและความสำเร็จแก่ผู้เรียนได้แค่ไหน
5. สนับสนุนให้มีการปฏิสัมพันธ์และการพูดคุยในเรื่องการเรียนการสอน
(เพื่อนและครูนักเรียน) มีโอกาสใดบ้างสำหรับการพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องงานที่มอบหมายเพื่อการประเมินผลในรายวิชาที่
6. อำนวยความสะดวกในการพัฒนาการประเมินตนเองและการสะท้อนความคิดทางค้านการเรียนขอบเขตของโอกาสอย่างเป็นทางการสำหรับการให้ข้อมูลย้อนกลับการประเมินตนเองการประเมินโดยเพื่อนในวิชาที่เรียนมีแค่ไหน
7. ให้โอกาสผู้เรียนเลือกการประเมินผล-เนื้อหาและกระบวนการขอบเขตของผู้เรียนสำหรับการเลือกหัวข้อวิธีการเกณฑ์การวัดผลค่าน้ำหนักคะแนนกำหนดเวลาและงานที่มอบหมายเพื่อการประเมินผล
(งานที่ใช้ประเมินผลการประเมินผลงาน) ในรายวิชาที่สอนมีมากน้อยเพียงใด)
8. ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายการประเมินผลและการปฏิบัติของอย่างไรของข้อมูลที่ผู้เรียนได้รับหรือมีการส่วนร่วมให้คำปรึกษาเพื่อการตัดสินใจเรื่องการประเมินการประเมินผลมีหรือไม่
9. สนุบสนุนชุมชนแห่งการเรียนรู้ขอบเขตของการประเมินผลและการย้อนกลับช่วยสนับสนุนการพัฒนาชุมชนแห่งการเรียนรู้มีมากน้อยเพียงใด
10. ช่วยครูผู้สอนในการปรับการเรียนการสอนเพื่อตอบสนองความต้องการของ
ดังนั้นการประเมินผลจะมีหลักการ
กระบวนการการประเมินการเรียนรู้ดังต่อไปนี้
1.การประเมินผลต้องยึดตามจุดประสงค์การสอนที่ชัดเจน
2.ชั้นตอนและเทคนิคในการประเมินผลควรเลือกตามจุดประสงค์ในการประเมิน
3.ประเมินผลควรเป็นที่เข้าใจได้ตรงกัน
4. การประเมินผลควรทำอย่างต่อเนื่อง
5 การประเมินผลควรระบุจุดอ่อนจุดแข็งและใช้งานได้
6.การรประเมินผติศวรเป็นความพยายามร่วมกัน
7. การประเมินผลการจะมีความละเอียดรอบคอบ
การวัดและการประเมินผล
การวัดและการประเมินผลเป็นภารกิจที่สำคัญอย่างหนึ่งสำหรับผู้สอนด้วยเหตุผลที่ว่าการวัดและการประเมินผลจะเป็นวิธีการที่ประเมินความรู้ความสามารถของผู้เรียนตลอดจนใช้เป็นวิธีการในการตรวจสอบการปฏิบัติงานของผู้สอนได้ว่าได้ดำเนินการสอนให้เป็นไปตามเป้าหมายหรือจุดประสงค์ที่กำหนดไว้หรือไม่ดังนั้นผู้สอนจึงจำเป็นจะต้องมีความรู้ความเข้าใจและสามารถดำเนินการวัดและการประเมินผลได้เป็นอย่างดี
การวัดเป็นกระบวนการเชิงปริมาณในการกำหนดค่าเป็นตัวเลขหรือสัญลักษณ์ที่มีความหมายแทนลักษณะของสิ่งที่วัดโดยอาศัยกฎเกณฑ์อย่างใดอย่างหนึ่ง
ส่วนคำว่า“
การประเมินผล”
นั้นเป็นการตัดสินเกี่ยวกับคุณภาพหรือคุณค่าของวัตถุสิ่งของโครงการการศึกษาพฤติกรรมการทำงานของคนงานหรือความรู้ความสามารถของนักเรียน
จุดประสงค์ของการวัดและการประเมินผล
การวัดและการประเมินผลการศึกษาหรือการเรียนการสอนหรือที่ในปัจจุบันใช้คำว่าการจัดการเรียนรู้เป็นไปเพื่อจุดประสงค์ดังต่อไปนี้
1.การจัดตำแหน่ง (Placement) เป็นการวัดและการประเมินผลโดยใช้เครื่องมือต่าง ๆ
เพื่อจัดผู้เรียนแต่ละคนว่ามีความสามารถอยู่ตรงระดับไหนของกลุ่มเก่งปานกลางหรือสามารถใช้ได้หลาย
ๆ กรณีตัวอย่างเช่นเมื่อจะรับผู้เรียนเข้าสถานศึกษาผู้เรียนแต่ละคนจะมหรือแบ่งประเภทผู้เรียนแต่ละคนว่ามีความน้อยเท่าใดซึ่งสามารถใช้ได้หลาย
ๆ
กรณีความแตกต่างกันทั้งด้านสติปัญญาความสนใจคัดเลือกว่าจะรับผู้เรียนประเภทใดหรือไม่อย่างไรดังนั้นผู้สอนหรือสถานศึกษาก็จะความสนใจความถนัดรวมทั้งบุคลิกภาพด้านต่าง
ๆที่จะต้องมีการะเภทใดหรือไม่รับประเภทใดและถ้ารับเข้ามาแล้วจะจัดแบ่งสาขาวิชา1701จากจะสามารถใช้การวัดและการประเมินผลมาเป็นเกณฑ์ในการจัดเรีลแบ่งประเภทได้อย่างยุติธรรม
2.การวินิจฉัย จะต้องวินิจฉัยว่าคนไข้เป็นโรคอะไรหรือมีสาเหตุอะไรถึงไม่สบาย
นี้มักจะใช้ในทางการแพทย์โดยเมื่อแพทย์ตรวจคนไข้แล้วมไม่เป็นโรคอะไรหรือมีสาเหตุอะไรที่ทำให้ไม่สบายซึ่งจะเป็นการหาสมมติฐานของเพื่อนำไปสู่การรักษาสำหรับในทางการศึกษานั้นการวัดและการประเมินผลที่เป็นไปเพื่อการผู้เรียนคนใดมีความสามารถทางด้านใดและเมื่อสอนไปแล้วในแต่ละวิชามีส่วนใดที่ผู้เรียนเข้าใจจะถูกต้องหรือไม่เข้าใจเข้าใจยังไม่ถูกต้องผู้สอนจะได้สอนหรือแนะนำทำความเข้าใจใหม่ได้ถูกต้อง
3. การเปรียบเทียบ (Assessment) จุดประสงค์ของการวัดและการประเมินผลในข้อนี้เป็นไปเพื่อการเปรียบเทียบความเจริญงอกงามหรือพัฒนาการของการเรียนรู้ของผู้เรียนโดยการที่ผู้สอนอาจจะสอบวัดความรู้ความสามารถของผู้เรียนไว้ก่อนเมื่อเริ่มเรียนแล้วหลังจากนั้นเมื่อเลิกเรียนไปแล้วระยะหนึ่งหรือเมื่อเรียนไปจนจบแล้วผู้สอนอาจจะสอบเพื่อวัดและประเมินผลอีกครั้งว่าผู้เรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใดซึ่งการกระทำเช่นนี้เป็นการแสดงถึงความเจริญก้าวหน้าหรือพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนโดยเปรียบเทียบจากผลการสอบก่อนเรียนกับผลการสอบหลังจากที่เรียนไปแล้ว
4. การพยากรณ์ (Prediction) เป็นการวัดหรือประเมินผลเพื่อช่วยในการพยากรณ์ทำนายหรือคาดการณ์และแนะนำว่าผู้เรียนคนนั้น
ๆควรจะเรียนอย่างไรจึงจะประสบความสำเร็จและสอดคล้องกันความสามารถความถนัดหรือความสนใจของแต่ละบุคคลในทางจิตวิทยาการศึกษานั้นเชื่อกันว่าคนเราทุกคนมีความแตกต่างเห็นในลาย
ๆ
ด้านดังนั้นหากสามารถจัดการศึกษาหรือการเรียนการสอนให้สอดคล้องความถนัดความสนใจหรือความรู้ความสามารถของผู้เรียนแต่ละคนได้ก็จะทำให้การศึกษาหรือการเรียนในเรื่องนั้นๆได้รวดเร็วและประสบความสำเร็จในการเรียนได้เป็นอย่างดี
5.
การป้อนผลย้อนกลับ (Feedback) เป็นการวัดและการประเมินผลเพื่อนำผลประเมินที่ได้ไปใช้ในการปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนในครั้งต่อ
ๆไปผลย้อนกลับนี้มีได้ทั้งส่วนที่เป็นของผู้สอนและสวนเป็นของผู้เรียนในส่วนของผู้สอนเมือการจัดการเรียนการสอนผ่านไปแต่ละบทเรียนหรือเมื่อจบการเรียนสอนแล้วผู้สอนควรมีการวัดและประเมินผลเพื่อดูว่าเทคนิควิธีการสอนสื่อการเรียนการสอนเนื้อหาจัดให้กับผู้เรียนนั้นเกิดการเรียนรู้ตามจุดประสงค์หรือไม่อย่างไรมีส่วนใดบ้างที่จำเป็นผู้เรียนจะได้รับรายงานผลของตนเองทำให้ทราบว่าตนเองนั้นมีความร้อนปรับปรุงแก้ไขส่วนใดบ้างที่ดีอยู่แล้วสำหรับในส่วนของผู้เรียนนั้นเมื่อมีการวัดและการประเมินผลครูระดับใดและมีเรื่องใดบ้างที่เรียนแล้วแม้ในขัพพนเนื่องใดบ้างที่ยังต้องการเพเพิ่มเติมอีกซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่ผู้เรียนในการศึกษา
6. การเรียนรู้(Learning Experience) เป็นการวัดและประเมินผลที่มีจุดประสงค์เพื่อเป็นตัวกระทุนในมีที่มีการสอบเพื่อวัดและประเมินพอนคนสมบผู้เรียนจะต้องมีเตรียมตัวเนยไฟไฟปพบเรียนรู้ที่ดีแล้วยังทำให้แตกระบวนกาเรียนรู้ที่ดีของผู้เรียนอีกด้วยเนื่องที่การเคายมตัวสอบจะต้องมีการทบทวน
เนื้อหาวิชาที่เรียนศึกษาค้นคว้า
ทำความเข้าใจให้ถ่องแท้จึงทําให้เกิดการเรียนรู้เพิ่มขึ้น
และถูกต้องชัดเจนผมเข้าทำข้อสอบ โดยที่ข้อสอบที่ใช้นั้นจะเป็นสภาพการณ์ที่สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้เรียนตอบแบบที่ความคิดในหลายๆแง่มุม
เช่น คิดแก้ปัญหา คิดคำนวณ คิคหาสรุป เป็นต้น
ซึ่งการคิดเหล่านี้เป็นจบการที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้ที่ดีและมีประสิทธิภาพ
การวัดและการประเมินผลนอกจากจะมีจุดประสงค์ดังกล่าวแล้วบลูม
(Bloom, 1971, p. 56) ได้เสนอประสงค์ที่จะทำการวัดและการประเมินผลโดยเน้นที่จุดประสงค์หรือพฤติกรรมที่ต้องการวัดได้เกี่ยวกับจุดประสงค์ที่จะทำการวัดผลไว้ดังนี้
1.
วัดทางปัญญาหรือพุทธิพิสัย (Cognitive
Domain)
2.
วัดทางความรู้สึกนึกคิดหรือจิตพิสัย (Affective
Domain)
3.
วัดความสามารถในการใช้อวัยวะต่างๆหรือทักษะพิสัย
(Psychomotor Domain)
เครื่องมือและเทคนิควิธีที่ใช้ในการวัดและการประเมินผล
เครื่องมือและเทคนิควิธีที่ใช้ในการวัดและการประเมินผลการเรียนการสอนนั้นมีมากมายหลายชนิดแต่ที่รู้จักและนิยมใช้กันเป็นส่วนมาก
ได้แก่
1. การสังเกต
เป็นการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าของผู้สังเกตสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนในสภาพการณ์ที่เป็นจริงทั้งในและนอกห้องเรียนการสังเกตโดยทั่วๆไปเป็นการเฝ้าดูพฤติกรรมต่าง
ๆ ของผู้ถูกสังเกตซึ่งอาจจะเฝ้าดูไปตามเรื่องไม่ได้กำหนดหรือวางแผนว่าจะสังเกตอะไรอย่างไรสังเกตอะไรก่อน-หลังเมื่อมีพฤติกรรมอะไรเกิดขึ้นก็สังเกตและจดบันทึกไว้ทั้งหมดหรืออาจจะเฝ้าดูอย่างมีแผนการกำหนดไว้แน่นอนว่าจะสังเกตอะไรบ้างและสังเกตอย่างไรตัวอย่างเช่นต้องการจะวัดว่าผู้เรียนคนใดคนหนึ่งมีพฤติกรรมก้าวร้าวอย่างไรบ้างอาจกำหนดแผนงานในการสังเกตเป็นระยะเวลาหนึ่งเพื่อคอยสังเกตพฤติกรรมก้าวร้าวของผู้เรียนคนนั้นว่าแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวอะไรออกมาบ้างและมีการแสดงออกอย่างไรพร้อมทั้งจดบันทึกผลไว้แล้วนำมาประเมินผลในภายหลังเป็นต้นการสังเกตทั้งสองวิธีนี้มีทั้งข้อดีและข้อบกพร่องแตกต่างกันคือการสังเกตอย่างไม่มีแผนล่วงหน้าอาจจะเสียเวลาน้อยแต่จะได้พฤติกรรมที่เกิดขึ้นอย่างมากโดยที่บางพฤติกรรมอาจไม่ตรงกับที่ต้องการจะสังเกตก็ได้ส่วนการสังเกตอย่างมีแผนการจะเสียเวลาเฝ้าคอยพฤติกรรมนั้นๆนานแต่จะได้เฉพาะพฤติกรรมที่ต้องการสังเกตจริง
ๆ เท่านั้น
2. การสัมภาษณ์ เป็นการพูดคุยซักถามกันระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนมีการซักถามโต้ตอบซึ่งกัน
4 การสัมภาษณ์อาจทำได้สองแบบเช่นเดียวกันคือแบบไม่มีแบบแผนและแบบมีแผนโดยเฉพาะแบบคนนั้นจะกระทำเพื่อหาข้อมูลบางอย่างโดยมีวัตถุประสงค์ที่แน่นอนมีแนวการสัมภาษณ์และกำหนดเป็นถามไว้ล่วงหน้าใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายโดยจะใช้การถามเพื่อล้วงหาคำตอบแบบหยั่งลึกก็ได้การสัมภาษณ์วิธีนี้มีการบันทึกผลการสัมภาษณ์และการตั้งเกณฑ์สำหรับคนที่จะผ่านการสัมภาษณ์ด้วยการวัดและการประเมินประเมินผลโดยใช้การสัมภาษณ์นี้มีข้อดีตรงที่ผู้สัมภาษณ์จะได้ผลจากการสัมภาษณ์ที่เป็นข้อของผู้ตอบได้ทราบความรู้สึกนึกคิดและหฤติกรรมของผู้ถูกสัมภาษณ์ได้อย่างใกล้ชิดแต่อาจต้องใน
3. การให้ปฏิบัติ
เป็นการให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติให้ดูว่าสามารถทำได้ตามที่เรียนรู้หรือการสอนเขียนแบบเมื่อผู้สอนสอนหลักการไปแล้วก็ให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติเขียนแบบตามหลักให้ดเป็นต้นการวัดโดยให้ปฏิบัติและประเมินผลจากผลการปฏิบัตินั้นๆถือเป็นวิธีการวัดและประเมินอีกวิธีหนึ่งในบางสาขาวิชาโดยเฉพาะสาขาวิชาที่เกี่ยวกับการสอนทักษะต่างๆ
4. การศึกษากรณี
เป็นเทคนิคการศึกษาแก้ปัญหาหรือปรากฏการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งโดละเอียดลึกซึ่งเป็นรายๆไปเช่นการค้นหาสาเหตุของผู้เรียนที่มาโรงเรียนสายเป็นประจำหรือผู้เรียนที่ไปตั้งใจเรียนและชอบหนีโรงเรียนเป็นต้นในการศึกษาจะใช้เทคนิคและเครื่องมือหลายชนิดมารวบรวมข้อมูลในเรื่องต่างๆที่ศึกษาและบันทึกผลไว้แล้วนำมาวิเคราะห์สรุปหาสาเหตุของปัญหาหรือประเด็นที่ต้องการศึกษาอย่างแท้จริง
5. การให้จิตนาการ
เป็นเครื่องมือวัดทางจิตวิทยาที่สร้างขึ้นเพื่อล้วงความรู้สึกนึกคิดของผู้ถูกวัดออกมาอย่างไม่ให้เจ้าตัวรู้สึกและให้เจ้าตัวเห็นว่าเป็นความรู้สึกเรือปฏิกิริยาของคนอื่น
การวัดและการประเมินผลด้วยวิธีนี้มักใช้วัดทางด้านบุคลิกภาพ เช่น เจตคติ ความสนใจ
อารมณ์ ค่านิยมนิสัยและอุปนิสัย เป็นต้น
การให้จินตนาการมีหลายแบบเช่นแบบเติมประโยคให้สมบูรณ์แบบให้แสดงออกหรืออธิบายภาพที่เลือนลางแบบเรียงลำดับเป็นต้นการให้จินตนาการนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาในการพูดหรือลำบากใจในการโต้ตอบซักถามได้เป็นอย่างดี
เพราะจะทำให้ได้การวัดและการประเมินผลที่ถูกต้องหรือใกล้เคียงความแค่ตอบเลือกตอบจากคำตอบจริงมากที่สุด
6. การใช้แบบสอบถาม
เป็นวิธีที่จะต้องมีแบบสอบถามเป็นชุดของคำถามที่ถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระบบระเบียบพร้อมที่จะส่งให้ผู้ตอบอ่านและตอบด้วยตนเองคำถามที่ใช้จะเป็นคำถามที่
"ข้อเท็จจริงและความคิดเห็นต่างๆเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งคำถามในแบบสอบถามนี้อาจแบ่งได้เป็นกำหนดให้ลักษณะคือแบบคำถามเปิดผู้ตอบต้องหาคำตอบมาใส่เองและแบบคำถามปิดผู้ตอบ
การประเมินผลตามระบบการวัดผล
ในกระบวนการเรียนการสอนนั้นจะต้องมีการวัดและการประเมินผลเพื่อเป็นตัวในการเรียนรู้ของผู้เรียนและประสิทธิภาพของผู้สอนดังนั้นเมื่อมีการวัดผลด้วยเครื่องมือเทคนิคจะต้องนำผลที่ได้จากการวัดนั้นมาประเมินผลด้วยระบบการวัดผลมาตรฐานซึ่งได้แก่
1.
การประเมินผลแบบผลแบบอิงกลุ่ม
เป็นการประเมินผลเพื่อเปรียบเทียบของผู้เรียนแต่ละคนกับผู้เรียนคนอื่นๆ
ในกลุ่มเดียวกันโดยใช้งานหรือแบบทดสอบชนิดเดียวหรือฉบับ
เดียวกันจุดมุ่งหมายหลักของการประเมินผลแบบนี้เพื่อต้องการจำแนกหรือจัดลำดับบุคคลในกลุ่มนั้นๆตามความสามารถตั้งแต่สูงสุดจนถึงต่ำสุดโดยยึดระดับผลสัมฤทธิ์เช่นการสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในสถานศึกษาจะมีการแปลคะแนนของผู้สอบออกมาในรูปของคะแนนมาตรฐานอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งอาจจะดูคะแนนในรูปของเปอร์เซนไทน์
หรือ เดไซค์ก็ได้แบบทดสอบสำหรับการประเมินผลประเภทนี้ควรมีความยากง่ายพอเหมาะคือไม่ยากหรือง่ายจนเกินไปค่าที่พอเหมาะคือค่าความยากง่ายที่ 50% ค่าอำนาจจำแนกสูงดังนั้นการได้คะแนนสูงหรือต่ำของผู้เรียนจะถือว่าเป็นเพราะความแตกต่างของตัวผู้เรียนเองและความเป็นมาตรฐานของข้อสอบที่สามารถแยกให้เห็นถึงความแตกต่างของคะแนนได้การประเมินผลแบบอิงกลุ่มนี้จะบอกได้แต่เพียงว่าผู้เรียนคนหนึ่งสามารถทำได้ถูกต้องกว่าคนอื่นๆอยู่กี่คนเท่านั้นโดยไม่สามารถบอกได้ว่าผู้เรียนทำแบบทดสอบได้ถูกต้องทุกข้อหรือถูกต้อง
70% หรือ 30%
2. การประเมินแบบอิงเกณฑ์
เป็นการประเมินผลเพื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนดขึ้นเพื่อดูว่างานหรือการสอบของผู้เรียนผ่านเกณฑ์ที่กำหนดไว้หรือไม่เพียงใดโดยไม่คำนึงถึงอื่นๆที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันตัวอย่างเช่นการสอบวิชาหลักการสอนให้ผ่านจะต้องได้เกรดไม่ต่ำกว่า
2 หรือ C. คนที่สอบได้เท่ากับหรือมากกว่า
2 หรือ C. ถึงจะถือว่าผ่านเกณฑ์ เป็นต้น
การประเมินผลตามสภาพจริง
การปฏิรูปการศึกษาของประเทศไทยในปัจจุบันมีจุดเด่นประการหนึ่งที่นอกเหนือจากการเรียนการสอนที่ให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
(Child Centered) คือการประเมินผลตามสภาพจริง (Authentic
Assessment) หรือเน้นการวัดผลให้ตรงกับสภาพจริงของการเรียนการสอนแล้วนำผลการวัดเหล่านั้นมาประเมินว่าบรรลุผลการเรียนรู้มากน้อยเพียงไรการเรียนการสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลางนั้นจะเน้นให้ผู้เรียนเป็นผู้กระทำ
(Learning by doing) มิใช่เกิดจากการเรียนการสอนแบบเก่าคือผู้เรียนฟังครูผู้สอนแต่เพียงอย่างเดียวซึ่งการเรียนในลักษณะนี้จะวัดผลเพียงแค่ผู้เรียนฟังแล้วรู้เรื่องที่ครูสอนมากน้อยเท่าไรใครจำเรื่องราวที่ครูบรรยายได้มากก็ประเมินว่าเรียนเก่งใครจำเรื่องราวได้น้อยจากครูก็เป็นผู้เรียนอ่อนหรือสมควรตกแล้วเรียนใหม่เป็นต้น
ในปัจจุบันการวัดผลมิใช่เพียงแค่การทดสอบหรือการสอบอย่างเดียวแต่ยังต้องประเมินจากสภาพแท้จริงของผู้เรียนดังนั้นการประเมินผลตามสภาพจริงจึงหมายถึงกระบวนการสังเกตการบันทึกและรวบรวมข้อมูลจากผลงานและวิธีการที่ผู้เรียนกระทำเพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับการตัดสินใจในการศึกษาถึงผลกระทบต่อผู้เรียนเหล่านั้นการประเมินผลตามสภาพจริงจะไม่เน้นเฉพาะการประเมินทักษะพื้นฐาน
แต่จะเน้นการประเมินทักษะการคิดที่ซับซ้อนในการทำงานของผู้เรียนประเมินความสามารถในการแก้ปัญหาและการแสดงออกที่เกิดจากการปฏิบัติงานตามสภาพจริงนอกจากนั้นยังเน้นการประเมินพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนที่เกิดจากการให้ผู้เรียนเป็นผู้ค้นพบข้อความรู้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองพัฒนาการสอนของครูอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
ลักษณะของการประเมินผลตามสภาพจริง
ลักษณะสำคัญของการประเมินผลตามสภาพจริงมีอยู่ด้วยกัน
4 ประการดังนี้คือ
1. ประเมินในสิ่งที่เป็นภาคปฏิบัติจริง
หรือกระทำจริงได้เช่นผู้เรียนต้องทำการทดวิทยาศาสตร์ได้จริงๆไม่ใช่ทดลองหรือแก้ปัญหาโดยการเขียนบรรยายหรือจำถึงหลักของวิทยาศาสตร์ไม่เคยทดลองเลยหรือเด็กที่จะเป็นผู้ได้เกรด
A วิชาสุขศึกษาจะต้องเป็นผู้รู้จักรักษาอนามัยตนเองได้ดีร่างกายแข็งแรงไม่ใช่เด็กที่ตอบคะแนนจากวิชานี้ได้สูงแต่ไม่รู้จักดูแลสุขภาพขี้โรคและแต่งตัวสกปรกเป็นต้น
2. กำหนดเกณฑ์ที่ใช้ในการประเมินไว้ให้ชัดเจน
โดยยึดหลักของการแสดงออกหรือปฏิบัติเป็นสำคัญเพื่อการเข้าใจกันระหว่างผู้เรียนและครู
3. การประเมินตามสภาพจริงจะต้องทำให้ผู้เรียนได้พัฒนาความสามารถของตนเองได้อย่างเต็มที่
เด็กสามารถจะปรับปรุงหรือขยายผลงานของตนให้เข้าใกล้กับสิ่งที่เป็นเกณฑ์กำหนดไว้ตามความสามารถของตนเอง
4. การประเมินตามสภาพจริงจะช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาในการแสดงออกอย่างเต็มที่
ในสิ่งที่เขาสนใจและต้องการจะก่อให้เกิดการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งในสภาพแวดล้อมชุมชนที่เขาอยู่อาศัยการเรียนในลักษณะนี้จะทำให้ผู้เรียนมีความสุขต่อการเรียนรู้ในโรงเรียนดีกว่าการบังคับเรียนโดยครูหรือหลักสูตรที่คับแคบไม่ตอบสนองและคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลแต่อย่างไร
จากลักษณะสำคัญของการประเมินผลตามสภาพจริง
4 ประการนี้จะเห็นว่าแนวการประเมินตามสภาพจริงมุ่งที่จะวัดการแสดงออกใดๆของผู้เรียนอย่างใกล้ชิดและในกิจกรรมทุกกิจกรรมทุกอย่างหน้าที่ของครูจะเป็นไปในลักษณะติดตามผลพร้อมกับช่วยเหลือเสนอแนะเปรียบเสมือนจะเป็นผู้ฝึก
(Coach) แล้วผู้เรียนเป็นผู้แสดงหรือผู้เล่นถ้าสร้างความเข้าใจในลักษณะนี้จะช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกพัฒนาตนเองเต็มที่และเรียนอย่างมีความสุขที่ตนสนใจและต้องการแนวการเรียนการสอนในลักษณะเด็กเป็นผู้แสดงนครจะต้องมีการติดตามและมีการวัดทุกพฤติกรรมของผู้เรียนที่เกิดขึ้นเพื่อจะได้นำเอาผลการวัดเหล่าน
"ประเมินผู้เรียนได้ถูกต้องแม่นยำและเป็นไปตามสภาพจริงๆที่เกิดขึ้นจากกระบวนการเรียนการสอน
แนวทางในการวัดการประเมินตามสภาพจริง
เพื่อให้เห็นแนวทางของการวัดการประเมินตามสภาพจริงจึงกล่าวสรุปเป็นข้อๆได้ดังนี้
1. การวัดผลจะต้องใช้หลายๆวิธีในการวัด
เพื่อจะได้ประเมินผู้เรียนได้ครอบคลุมเป็นโดยใช้ข้อสอบเป็นต้นแบบสังเกตการสัมภาษณ์แบบสอบถามการใช้สังคมมิติการวัคจินตภาพการวัดภาคปฏิบัติ"
คปฏิบัติและการวัด
2. จะต้องมีการจัดทำแฟ้มสะสมงาน (Portfolio) ซึ่งจะเป็นที่รวบรวมผลงานต่างๆบนหนึ่งๆอันเป็นผลมาจากการเรียนการสอนมาเป็นองค์ประกอบหนึ่งของการประเมินปลายภาครวมผลงานต่างๆของผู้เรียนคน4ะเมินปลายภาคหรือปลายปี
3. การวัดผลต่างๆที่เกิดขึ้นในระดับชั้นต่างๆในตัวผู้เรียนแต่ละคนจะต้องตอบให้ได้ว่าบางๆเป้าหมายมากน้อยเพียงไร
3. 1
เป้าหมายระดับชาติ (เป้าหมายสูงสุดหรือปรัชญา)
3. 2
เป้าหมายระดับท้องถิ่น (เป้าหมายหลักสูตร)
3. 3
เป้าหมายของตนเอง (ผู้เรียน) (เป้าหมายตอบสนองบุคคล)
4. แนวทางในการวัดเน้นการวัดที่ควบคู่ไปกับการเรียนการสอนหรือการวัดมุ่งจะปรับปรุงพัฒนาผู้เรียน
(Formative Evaluation) ส่วนการวัดที่เน้นโดยภาพรวมหรือสรุป
(Suminative Evaluation) จะทำในระดับท้องถิ่นและระดับชาติแต่ในส่วนครูผู้สอนจะต้องเน้นการวัดผลควบคู่ไปกับการเรียนการสอนเพราะเมื่อไรเห็นผู้เรียนอ่อนในเนื้อหาใดหรือประสบการณ์ใดเป็นหน้าที่ของครูจะต้องช่วยพัฒนาและซ่อมเสริมได้ตรงจุดและจะต้องทำอยู่ตลอดเวลาการวัดและประเมินตามแนวนี้จะช่วยสร้างความอบอุ่นต่อการเรียนการสอนเด็กจะมีความสุขการวัดผลแบบแนวเดิมๆและใช้ข้อสอบอย่างเดียวเป็นหลักจะสร้างความหวาดวิตกกังวลให้แก่ผู้เรียนและผู้เรียนจะไม่มีความสุขแต่อย่างไรการเรียนการสอนก็กลายเป็นสิ่งที่น่าเบื่อไม่น่าสนใจ
เครื่องมือการประเมินผลตามสภาพจริง
การประเมินผลตามสภาพจริงที่มีการบูรณาการกิจกรรมการเรียนการสอนกับแผนการประเมินนั้นครูจะประเมินโดยเน้น“
4P” คือการแสดงออก (performance) กระบวนการ
(process) ผลผลิต (Products) และแฟ้มสะสมงาน
(Parttility) โดยการประเมินควบคู่กันดังนี้ (นวรัตน์สมนาม,
2546 หน้า 193 195)
1. การประเมินการแสดงออก (Performance) การประเมินการแสดงออกครูสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนเมื่อครูอยู่ท่ามกลางกลุ่มนักเรียนโดยครูเล่านิทานหรือนักเรียนทำงานและกิจกรรมต่างๆครูจะสังเกตสีหน้าท่าทางการพูดโต้ตอบการแสดงออกที่สนุกสนานเพลิดเพลินรวมทั้งแสดงออกในการพูดโต้ตอบพัฒนาการทางด้านภาษาความเข้าใจเรื่องราวในเรื่องที่เรียนเป็นต้นสำหรับการประเมินกระบวนการ
(process) ซึ่งจะต้องสังเกตควบคู่กับการโดยครูสังเกตการเคลื่อนไหวกิริยาท่าทางความร่วมมือความคล่องแคล่วความอดทนการใช้อุปกรณ์เครื่องมือต่างๆในระหว่างการเรียนการปฏิบัติงานรวมทั้งการมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนและผู้ใหญ่เป็นต้น
2. การประเมินกระบวนการและผลผลิต (Process and Products) การประเมินผลผลิตนักเรียนจะเป็นสื่อกลางให้ครูเข้าใจกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียน
"อมูลที่สำคัญที่เกิดจากการสำรวจค้นคว้าทดลองและโครงงานต่างๆจุดเน้นของการประเมินสภาพจริงตัวอย่างการผลิตเช่นการจัดนิทรรศการแผนภาพแผนภูมิเกมต่างไม่พิจารณาเฉพาะผลผลิตเท่านั้นแต่จะเน้นที่กระบวนการที่มีต่อผลผลิตด้วยตัวอย่าแผนงานโครงงานรายชื่อหนังสือที่อ่านผลการสาธิตการจัดนิทรรศการแผนภาพโครงงานกลุ่ม
เป็นต้น
การประเมินแฟ้มสะสมงาน
(Portfolio Assessment)
เป็นวิธีการประเมินที่เน้นประสิทธิภาพวิธีหนึ่งในการประเมินการแสดงออกกระบวนผลผลิตหมายถึงการประเมินความสำเร็จของนักเรียนจากผลงานที่เป็นชิ้นงานที่ดีที่สุดหรือผลงานที่เราถึงความสนใจความสามารถทักษะเจตคติและพัฒนาการของนักเรียนที่ได้เรียนรู้มาช่วงระยะหนึ่ง
3 แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เขาประสบความสำเร็จ
เพื่อให้เกิดความเข้าใจและสามารถนำไปใช้ในการประเมินผลเพื่อพัฒนาผู้เรียนจึงควรทำความรู้จักกับแฟ้มสะสมงานในรายละเอียดดังนี้
3. 1
ความหมายของแฟ้มสะสมงาน
แฟ้มสะสมงานสิ่งที่เก็บรวบรวมผลงานหรือตัวอย่างของผลงานหรือหลักฐานที่แสดงถึงผลสัมฤทธิ์ความสามารถความพยายามหรือความถนัดของบุคคลหรือประเด็นสำคัญที่ต้องจัดเก็บไว้อย่างเป็นระบบ
3.2 ลักษณะเด่นของการประเมินโดยแฟ้มสะสมงาน
การประเมินโดยแฟ้มสะสมงานมีลักษณะเด่นที่สำคัญดังต่อไปนี้
3. 2. 1 เพิ่มแรงจูงใจในการเรียนของนักเรียน
3. 2. 2 พัฒนาทักษะทางวิชาการระดับสูงแก่นักเรียน
3. 2. 3 พัฒนาทักษะการทำงานเป็นทีมเพื่อให้งานสำเร็จ
3. 2. 4 เป็นการปรับเปลี่ยนการเรียนรู้จากนามธรรมไปสู่รูปธรรม
3.
2. 5 แสดงพัฒนาการของนักเรียนอย่างต่อเนื่องและนักเรียนได้ปรับปรุงงานติสอน
3. 2. 6 วัดความสามารถของนักเรียนได้หลายด้าน
3.
2. 7 เป็นกิจกรรมที่สอดแทรกอยู่ในสภาพการเรียนประจำวันที่มีประโยชน์ต่อในสภาพชีวิตจริงศาสตร์การมีส่วนร่วมในการเรียนถ้าไม่สอนเรื่องเหล่านี้โดยตรง
3.
2. 8 นักเรียนมีความตระหนักในกระบวนการและยุทธศาสตร์การมีสวนการแก้ปัญหาการวิเคราะห์ข้อมูลหรือการเก็บรวบรวมข้อมูลในการสอนปกติถ้าไม่สอนเรื่องแล้วนักเรียนจะมีโอกาสเรียนรู้เรื่องนี้ได้น้อยมาก
3.
2. 9 นักเรียนได้มีโอกาสในการแสดงสร้างสรรค์ผลิตหรือทำงานด้วย
3. 3 ประเภทของแฟ้มสะสมงานแฟ้มสะสมงานสามารถรวบรวมเป็นประเภทใหญ่ๆได้
4 ประเภทดังนี้
3.
3. 1 แฟ้มสะสมงานส่วนบุคคลเป็นแฟ้มที่แสดงข้อมูลเกี่ยวกับตัวเจ้าของแฟ้มเช่นรถพิเศษกีฬางานอดิเรกสัตว์เลี้ยงการท่องเที่ยวและการร่วมกิจกรรมชุมชนเป็นต้น
3. 3. 2 แฟ้มสะสมงานวิชาชีพเป็นแฟ้มที่แสดงผลงานเกี่ยวกับอาชีพเช่นแฟ้มสะสมงานรสมัครงานแฟ้มสะสมงานเพื่อเสนอขอเลื่อนระดับเป็นต้น
3.
3. 3 แฟ้มสะสมงานวิชาการหรือแฟ้มที่แสดงผลงานเกี่ยวกับอาชีพเช่นแฟ้มสะสมงานเพื่อใช้ในการสมัครงานแฟ้มสะสมงานเพื่อใช้ประเมินผลการผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้แฟ้มสะสมงานเพื่อใช้ประกอบการประเมินผลปลายภาคและปลายปีเป็นต้น
3.
3. 4 แฟ้มสะสมงานสำหรับโครงการมีลักษณะคล้ายภาพยนตร์สารคดีโดยเป็นแฟ้มที่แสดงถึงความพยายามหรือขั้นตอนการทำงานในโครงการหนึ่งๆหรือในการศึกษาส่วนบุคคลเช่นแฟ้มโครงการอาหารกลางวันในแฟ้มจะประกอบด้วยเอกสารโครงการหลักฐานที่แสดงถึงร่องรอยของการปฏิบัติงานและผลงานเป็นต้น
3. 4
องค์ประกอบของแฟ้มสะสมงาน
แฟ้มสะสมงานเป็นการเก็บรวบรวมผลงานที่แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของผู้เรียนมีองค์ประกอบสำคัญของแฟ้มสะสมงานไว้ดังนี้
3.
4. 1 จุดมุ่งหมายกำหนดขึ้นเพื่อใช้ตัดสินว่าแฟ้มสะสมงานจะใช้อธิบายหรือจัดอะไรจุดมุ่งหมายเป็นกิจกรรมแรกที่สำคัญในการจัดทำแฟ้มสะสมงานจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนช่วยป้องกันไม่ให้นักเรียนทำงานมากเกินความจำเป็นแฟ้มสะสมงานมีความหมายมากกว่าการรวบรวมกระดาษบรรจุลงแฟ้มหรือรวบรวมความจำเขียนลงในสมุดแต่หลักฐานแต่ละชิ้นในแฟ้มสะสมงานจะต้องสร้างสรรค์และจัดระบบความที่แสดงให้เห็นถึงความชำนาญหรือความก้าวหน้าตามจุดประสงค์จุดมุ่งหมายที่ชัดเจนช่วยให้นักเรียนเข้าใจและสามารถเชื่อมจุดหมายเหล่านี้เข้ากับการสอนในแต่ละวันของครู
3.
4. 2 หลักฐานหรือชิ้นงานประกอบด้วยหลักฐานและแนวทางต่างๆที่นักเรียนเลือกเพื่อแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการบรรลุจุดประสงค์การสร้างการรวบรวมเอกสาร
3. 4. 2. 1 เอกสารประเภทการบ้านแบบฝึกหัดรายงานของนักเรียนที่เกิดขึ้นระหว่างการทำงานวิชาการในห้องเรียน
3. 4. 2. 2 เอกสารที่แสดงถึงงานที่นักเรียนทำนอกห้องเรียนเช่นโครงการพิเศษการสัมภาษณ์
3. 4. 2. 3 เอกสารที่ครูและคนอื่นๆใช้แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางวิชาการของนเรียนเช่นบันทึกการสังเกตที่ครูบันทึกระหว่างที่นักเรียนนำเสนอหน้าชั้นใช้เป็นหลักฐานแสดงความก้าวหน้าในการเรียนเกี่ยวกับการพูดหน้าชั้นบันทึกของผู้เรียนเพื่อนนักเรียนผู้ปกครองการสอนในลักษณะต่างๆ
3. 4. 2. 4 เอกสารที่นักเรียนเตรียมขึ้นเฉพาะบรรจุลงในแฟ้มผลงานซึ่งประตจุดมุ่งหมายข้อความที่สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถตามจุดมุ่งหมายและหัวข้อ
3. 4. 3 การประเมินตนเองเป็นการให้นักเรียนประเมินแฟ้มสะสมงานของเป็นไปตามจุดประสงค์ที่วางไว้หรือไม่ด้วยกระบวนการต่อไปนี้
3. 4. 3. 1 กำหนดองค์ประกอบและเกณฑ์ในการตรวจสอบผลงานโดยครูและนักเรียนร่วมกันกำหนดเกณฑ์อาจอยู่ในรูปของดัชนีคะแนนหรือคุณลักษณะที่สามารถให้ข้อมูลป้อนกลับนักเรียนได้
3. 4. 3. 2 สร้างเครื่องมือเพื่อให้การตรวจสอบผลงานตามองค์ประกอบเช่นแบบสำรวจรายการบันทึกรายการเรียนรู้เป็นต้น
3. 4. 4 เป็นการแสดงความคิดเห็นหรือความรู้สึกต่อชิ้นงานแต่ละชิ้นที่บรรจุในแฟ้มสะสมงานรวมทั้งการวิพากษ์วิจารณ์และการให้คะแนนชิ้นงานซึ่งทำให้แฟ้มสะสมงานมีชีวิตชีวาและช่วยให้นักเรียนพิษบเรานการเรียนรู้ของตนเองซึ่งเป็นการใช้ความคิดในขั้นสูง
3. 4. 5 การประเมินแฟ้มสะสมงานเป็นการประเมินความพอดีระหว่างความสามารถที่แท้จริงของผู้เรียนกับศักยภาพของผู้เรียน
3. 5 ประโยชน์ของแฟ้มสะสมงานแฟ้มสะสมงานมีประโยชน์ในการแสดงผลงานของผู้เรียนที่สอดคล้องกับความสามารถที่แท้จริงแฟ้มสะสมงานมีประโยชน์ต่อผู้สอนดังนี้
3. 5. 1 ใช้ประเมินความก้าวหน้าในการเรียนของผู้เรียนเป็นรายบุคคล
3. 5. 2 ทำหน้าที่ในการสะท้อนความสามารถรวมออกมาเป็นผลงานชิ้นสุดท้าย
10 "หน้าที่ในการสะท้อนให้เห็นถึงวิธีการทำงานของนักเรียนได้ทุกขั้นตอน
3. 5. 3 แฟ้มสะสมงานจะทำให้ครูสามารถหาจุดเด่นของนักเรียนได้มากกว่าจุดด้อย
แต่นักเรียนสามารถเลือกตัดสินใจว่าชิ้นงานที่ดีที่สุดของตนในการประเมินดังนั้นนักเรียนมีความสุขในการแฟ้มสะสมงานของตนมากกว่า
3. 5. 4 ทำหน้าที่สำคัญในการแจ้งผลสำเร็จของนักเรียนให้บุคคลที่เกี่ยวข้องทราบ
3 สามารถนำไปใช้ในการอภิปรายความก้าวหน้าของนักเรียนกับผู้ปกครองได้การประเมินจากแฟ้มสะมีลักษณะเปิดเผยตรงไปตรงมาซึ่งต่างจากการใช้แบบทดสอบที่ครต้องปกปิดเป็นความลับอยู่เสมอ
3. 5. 5 การเก็บสะสมงานงานทุกชิ้นที่พิจารณาคัดเลือกไว้ต้องเขียนชีย
2 แปะติดไว้ให้สามารถประเมินความเจริญงอกงามหรือพัฒนาการของนักเรียนกเพิ่มสะสมงานก็ไว้ต้องเขียนชื่อวันเดือนปี
3. 6
กระบวนการท่าแฟ้มสะสมงาน
แฟ้มสะสมงานจะเป็นแฟ้มสะสมงานที่สมบูรณ์มีค่าเมื่อมีการจัดกระทำอย่างเป็นระบบหรือเป็นกระบวนการต่อเนื่องกันในการทำแฟ้มสะสมงานมีกระบวนการที่จำเป็น
10 ขั้นตอน
3.
6. 1 ขั้นกำหนดวัตถุประสงค์และประเภทของแฟ้มสะสมงานการกำหนดวัตถุประสงค์และประเภทของแฟ้มสะสมงานจะเป็นตัวตอบคำถามว่าทำไมจึงต้องนำนักเรียนมาเกี่ยวข้องกับการรวบรวมงานที่เขาสร้างขึ้นแฟ้มสะสมงานจะถูกนำไปใช้อย่างไรมีจุดประสงค์ที่แท้จริงอย่างไรการประเมินผลใช้วิธีการใดซึ่งในการกำหนดจุดประสงค์ของแฟ้มสะสมงานต้องยึดหลักแห่งความรู้กระบวนการเรียนรู้และความแตกต่างระหว่างบุคคลโดยให้ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมและประเมินตนเองได้ตลอดระยะเวลาที่กำหนดเป็นการช่วยเสริมสร้างการเรียนรู้ตลอดชีวิตสามารถสะท้อนความสามารถในการคิดและนักเรียนยังสามารถกำกับดูแลและชื่นชมความก้าวหน้ากับพัฒนาการของตนเอง
3.
6. 2 ขั้นรวบรวมชิ้นงานและจัดการชิ้นงานในขั้นนี้ครูจะต้องวางแผนร่วมกับนักเรียนว่าจะเก็บรวบรวมชิ้นงานอย่างไรออกแบบเครื่องมือและวิธีการที่จะช่วยให้นักเรียนได้จัดระบบกับชิ้นงานของเขาชิ้นงานมี
2 ชนิดคืองานแกนที่ทุกคนต้องทำครูอาจจะต้องมีแนวทางให้และเลือกงานที่นักเรียนสามรถใช้ความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มที่ตามความสนใจ
3.
6. 3 ขั้นเลือกชิ้นงานการรวบรวมชิ้นงานจะมีจำนวนมากพอที่จะนำมาพิจารณาคัดเลือกชิ้นงานเพื่อลดจำนวนชิ้นงานลงเป็นการตัดสินใจเชิงวิชาการเกี่ยวกับเนื้อหาสาระของชิ้นงานของนักเรียนจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบอาจมีหลักในการพิจารณาคัดเลือกชิ้นงานดังนี้คืองานชิ้นใดควรเลือกอย่างไรใครเป็นผู้เลือกหรือควรเลือกเมื่อใดและเก็บชิ้นงานที่ดีที่สุดไว้
2-5 ชิ้นต่อ 1 ภาคเรียน
3.
6. 4 ขั้นสร้างสรรค์ผลงานในขั้นนี้เป็นการถ่ายทอดความสามารถในการสร้างสรรค์ผลงานให้ประจักษ์ถึงความสามารถของผู้เรียนในการตกแต่งประดิษฐ์แฟ้มงานทั้งมีความสวยงามและมีผลงานที่สะท้อนถึงความรู้สึกนึกคิดเก็บรวบรวมไว้อย่างเป็นระเบียบและสวยงามซึ่งสิ่งนี้จะแสดงความคิดสร้างสรรค์และบุคลิกภาพของผู้เรียน
3.
6. 5 ขั้นการสะท้อนข้อมูลกลับเป็นการให้นักเรียนสะท้อนความรู้สึกนึกคิดหรือความคิดเห็นต่อชิ้นงานที่เลือกไว้ในแฟ้มสะสมงานในกระบวนการสะท้อนข้อมูลกลับจะเกี่ยวข้องกับการทำงานตั้งแต่ขั้นการวางแผนการติดตามและการประเมินผลงานวิธีการสะท้อนข้อมูลกลับเกี่ยวกับชิ้นงานโดยใช้สัญลักษณ์แสดงไว้ในชิ้นงานแต่ละขั้นหรือการให้คำวิพากษ์วิจารณ์รวมทั้งอาจให้คะแนนไว้บนชิ้นงานจะอธิบายถึงคุณค่าของชิ้นงานนั้นๆ
3.
6. 6 ขั้นการตรวจสอบความสามารถของตนเองในขั้นนี้นักเรียนสามารถตรวจสอบแฟ้มสะสมผลงาน
เพื่อประเมินตนเองและชิ้นงานของตนว่าบรรลุเป้าหมายระยะยาวระยะสั้นมากน้อยเพียงใด
สาระนักเรียนได้พบจุดอ่อนอะไรบ้างและงานในแฟ้มสะสมงานสามารถชีความก้าวหน้าในขอบข่ายในเป้าหมายหรือไม่เพื่อทำให้เกิดความเชื่อมั่นในแนวทางการทำงานของตน
3.
6. 7 ขั้นการทำงานให้สมบูรณ์และประเมินค่าผลงานการทำงานให้สมบูรณ์เพื่อให้พร้อมที่จะนำไปสู่การให้ระดับคะแนนดังนั้นการทำให้งานสมบูรณ์จะช่วยขัดเกลางานทำให้ที่ได้สมบูรณ์การให้คะแนนจะพิจารณาโดยเกณฑ์การให้คะแนนตามประเด็นการประเมิน
(Rubrics) กำหนดไว้ล่วงหน้าโดยครูและนักเรียนการประเมินจะเน้นความก้าวหน้าในผลงานของนักมากกว่าการเปรียบเทียบนักเรียนกับกลุ่ม
3.
6. 8 ขั้นการเชื่อมโยงและการปรึกษาหารือการประชุมสัมมนากับแฟ้มผลงานเพื่อเป็นครูและผู้ปกครองได้มีส่วนร่วมตัดสินใจถึงความสำคัญต่อการวัดผลประเมินผลปฏิบัติจริงโดยใช้การประเมินแฟ้มสะสมงาน
3.
6. 9 ขั้นการทำให้ผลงานมีคุณค่าทันสมัยการพิจารณานำชิ้นงานเข้าเก็บหรือดึงชิ้นงานออกเพื่อทำให้ชิ้นงานและแฟ้มสะสมงานสมบูรณ์และทันสมัยเหมาะแก่การนำไปใช้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของนักเรียนที่จะพิจารณาคุณภาพของชิ้นงานและแฟ้มสะสมงาน
3.
6. 10 ขั้นยอมรับคุณค่าที่สมบูรณ์และนำเสนอผลงานด้วยความภาคภูมิใจการจัดเสนอจะผนวกเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการของแฟ้มสะสมงานเพื่อให้นักเรียนเตรียมจัดแสดงนิทรรศการด้วยตนเองแก่กลุ่มเป้าหมายผู้ปกครองโดยการกำหนดเวลาที่แน่นอนเป็นการยอมรับคุณค่าอันเป็นกระบวนการที่จะส่งเสริมกำลังใจและความสำเร็จของงานอย่างมีระบบ
3. 7 การประคุณภาพของแฟ้มสะสมงาน
การประเมินคุณภาพของแฟ้มสะสมงานต้องกำหนดเกณฑ์ที่ชัดเจนที่สะท้อนความสามารถผู้เรียนได้การจัดทำเกณฑ์ในการประเมินเริ่มจากการกำหนดนิยามของทักษะหรือสมรรถภาพที่จะวัดแล้วเลือกมาตราวัดว่าจะใช้เชิงปริมาณหรือเชิงคุณภาพหลังจากนั้นจึงจำเป็นต้องมีความชัดเจนว่าจะประเมินรวมหรือประเมินแยกเป็นรายชิ้นแต่ละสมรรถภาพที่วัดจะมีตัวชี้วัดอะไรบ้างชิ้นงานแต่ละชิ้นมีน้ำหนักคะแนนเท่าไรผลการประเมินตนเองของผู้เรียนเพื่อนครูผู้ปกครองและผู้สนใจจะให้คะแนนกำหนดมาตรคุณภาพของงานอย่างไร
กล่าวโดยสรุป
แฟ้มสะสมงานเป็นทั้งเครื่องมือในการสอนของครูตรงตามสภาพจริงและยังเป็นการพัฒนาวิชาชีพครูการน้ำแฟ้มสะสมงานมาใช้จึงต้องเป็นการวิจัยของ
ดำรัส สีหะวีรชาติ (2542) พบว่าการใช้แฟ้มสะสมงานในการพัฒนาการเรียนการสอได้มีโอกาสในการแสดงความสามารถมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์สนใจเรียนนักเรียนมีความสุขนักเรียนรู้จักรับผิดชอบในการประเมินและตรวจสอบตนเองมากขึ้นผู้ปกครองมีการสอนนักเรียนมีความสุขในการเรียนมีความพึงพอใจที่ได้เห็นผู้เรียนรู้จักรับผิดชอบในการประเมินและตรวจสอบตนเองมากขึ้นผู้ปกครองมีความพึงพอใจที่ได้เห็นผู้เรียนรู้จักใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์มีความภาคภูมิใจในการจัดทำแฟ้มสะสมงานของผู้เรียน
วิธีการประเมินผลตามสภาพจริง
การประเมินผลตามสภาพจริงจะเป็นการประเมินที่เป็นระบบเป็นกระบวนการใช้วิธีการประเมินได้หลายวิธี
อาทิ
1. การสังเกต
อาจจะมีหรือไม่มีเครื่องมือในการสังเกตก็ได้ซึ่งสามารถทำได้ในทุกสถานการณ์
2. การสัมภาษณ์ โดยการตั้งคำถามอย่างง่ายๆซึ่งสามารถสัมภาษณ์ได้ทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ
3. การบันทึกจากผู้เกี่ยวข้อง โดยการรวบรวมข้อมูลความคิดเห็นเกี่ยวกับผู้เรียนจากผู้เกี่ยวข้องทั้งทางด้านความรู้ความสามารถและการแสดงออกในลักษณะต่างๆ
4. แบบทดสอบวัดความสามารถจริง (Authentic Test) โดยการสร้างคำถามเกี่ยวกับการนำความรู้ไปใช้หรือการสร้างความรู้ใหม่ในสถานการณ์จำลองที่คล้ายคลึงกันหรือเลียนแบบสภาพจริง
5. การรายงานตนเอง
โดยการพูดหรือเขียนบรรยายความรู้สึกนึกคิดความเข้าใจความต้องการวิธีการและผลงานของผู้เรียน
6. แฟ้มสะสมงาน (Portfolio) เป็นการรวบรวมผลงานไว้อย่างเป็นระบบในช่วงระยะหนึ่งเพื่อเป็นหลักฐานที่แสดงถึงความเข้าใจความสามารถทักษะความสนใจความถนัดความพยายามความก้าวหน้าและความสำเร็จ
ข้อควรคำนึงถึงในการประเมินผลตามสภาพจริง
ในการประเมินตามสภาพจริงควรคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
1. เป็นการประเมินที่กระทำไปพร้อมๆกับการจัดการเรียนรู้และการเรียนรู้ของผู้เรียน
2. เป็นการประเมินที่ยึดพฤติกรรมเป็นสำคัญ (Performance-based) ซึ่งแสดงออกมาจริง
3. ให้ความสำคัญในการพัฒนาจุดเด่นของผู้เรียน
4. เน้นการพัฒนาผู้เรียนและการประเมินตนเอง
5. ตั้งอยู่บนพื้นฐานเหตุการณ์ในชีวิตจริงเอื้อต่อการเชื่อมโยงการเรียนรู้ไปสู่ชีวิตจริง
6. มีการเก็บข้อมูลระหว่างการปฏิบัติในทุกบริบททั้งที่โรงเรียนบ้านและชุมชนอย่างต่อเนื่อง
7. เน้นคุณภาพของผลงานซึ่งเป็นผลจากการบูรณาการความรู้ความสามารถหลายด้านของผู้เรียน
8. เน้นการวัดความสามารถในการคิดระดับสูงเช่นการวิเคราะห์การสังเคราะห์เป็นต้น
9. ส่งเสริมการปฏิสัมพันธ์เชิงบวกมีการชื่นชมส่งเสริมและอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ของผู้เรียนให้ผู้เรียนมีความสุขสนุกสนานไม่เครียด
10. สนับสนุนการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) ในการประเมินผลประเมินผลการเรียน
การทดสอบและการให้เกรด
(Testing and Grading)
การทดสอบ
เป็นการนำข้อของคำถามที่สร้างขึ้นไปกระตุ้นให้ผู้เรียนแสดงพฤติกรรมตามที่ต้องการออกมาโดยสามารถสังเกตและวัดได้การทดสอบนี้มักจะใช้ในการวัดและการประเมินผลการเรียนการสอนเป็นส่วนใหญ่โดยใช้แบบทดสอบเป็นเครื่องมือสำคัญแบบทดสอบนี้มีด้วยกันหลายประเภทแล้วแต่เกณฑ์ที่ใช้ในการจำแนกซึ่งพอจำแนกได้ดังนี้
1 จำแนกตามลักษณะการกระทำ ได้แก่
1. 1 แบบทดสอบแบบให้ลงมือทำกระทำ
(Performance Test) ได้แก่
แบบทดสอบภาคปฏิบัติทั้งหลายเช่นการทดสอบวิชาพลศึกษาการทดสอบวิชาขับร้องนาฏศิลป์เป็นต้น
1. 2 แบบทดสอบแบบเขียนตอบ (Paper
Pencil Test) ได้แก่
การทดสอบที่ให้ผู้สอบต้องเขียนตอบในกระดาษและการใช้การเขียนเป็นเกณฑ์เช่นแบบทดสอบอัตนัยแบบทดสอบความเรียงเป็นต้น
1. 3 แบบทดสอบปากเปล่า (Oral
Test) เป็นแบบทดสอบที่ผู้สอบต้องตอบด้วยวาจาแทนการเขียนตอบหรือการปฏิบัติหรือการปฏิบัติเป็นการเรียกมาซักถามกันตัวต่อตัวเหมือนกับการสอบสัมภาษณ์แต่เป็นการซักถามเกี่ยวกับเนื้อหาสาระมากกว่าการสอบสัมภาษณ์ปกติ
2 จำแนกตามสมรรถภาพที่ใช้วัด
ได้แก่
2. 1 แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ (Achievement
Test) เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดระดับความรู้ความสามารถและทักษะทางวิชาการที่ได้จากการเรียนรู้แบ่งเป็น
2 ชนิดคือ
2. 1. 1 แบบทดสอบที่ผู้สอนสร้างเอง (Teach-made
Test) เป็นแบบทดสอบที่สร้างขึ้นเฉพาะครั้งคราวเพื่อใช้ทดสอบความรู้ความสามารถและทักษะของผู้เรียนในห้องเรียนบางครั้งอาจเรียกว่าแบบทดสอบชั้นเรียน
(Classroom Test) แบบทดสอบชนิดนี้เมื่อสอบเสร็จแล้วมักไม่ใช้อีกและถ้าต้องการสอบใหม่ก็จะสร้างใหม่หรือปรับปรุงดัดแปลงของเก่ามาใช้ใหม่อีกครั้ง
2. 1. 2 แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized
Test) เป็นแบบทดสอบที่สร้างกระบวนการพัฒนาจนมีคุณภาพได้มาตรฐาน
2. 2
แบบทดสอบความถนัด (Attitude
Test) เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดความสามารถ
ทาง
(Mental Ability) ที่เกิดจากการสะสมประสบการณ์ต่างๆใช้สำหรับทำนายสมรรถภาพทางสมอง2เรียนไปได้ไกลเพียงไรหรือมีความถนัดไปในทางใด
2.3 แบบทดสอบบุคลิกภาพและสถานภาพทางสังคม (Personal
Social Test) เป็นแบบทดสอบเพของคนเช่นเจตคติความสนใจนิสัยค่านิยมความเชื่อการปรับตัวสถานภาพทางสังคมใช้วัดบุคลิกภาพของคนเช่นเจตคติคาวาและสถานภาพทางอารมณ์เป็นต้น
3. จำแนกตามลักษณะการตอบ ซึ่งอาจแบ่งได้ 2 ประเภท ได้แก่
3. 1
แบบทดสอบความเรียง (Essay
Test) เป็นแบบทดสอบที่ให้ผู้ตอบหาคำตอบและเรียบเรียงคำตอบขึ้นเองผู้ตอบสามารถแสดงความรู้ความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่
3. 2
แบบทดสอบปรนัย (Objective
Test) เป็นแบบทดสอบที่มุ่งให้ผู้ตอบตอบเพียงสั้นๆหรือเลือกคำตอบจากที่กำหนดไว้
แบบทดสอบที่นิยมใช้ในการเรียนการสอน
แบบทดสอบที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันมีอยู่ด้วยกันหลายชนิดแต่ละชนิดมีจุดมุ่งหมายและความสามารถในการวัดต่างกันดังนั้นการนำแบบทดสอบไปใช้จึงต้องพิจารณาเลือกใช้ให้ถูกต้องและเหมาะสมกับจุดมุ่งหมายที่นำไปใช้แบบทดสอบที่ใช้กันอยู่ในการเรียนการสอนนั้นเป็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่ผู้สอนสร้างขึ้นเองโดยจำแนกตามลักษณะการตอบเป็น
2 ประเภทใหญ่ๆดังนี้
1. แบบทดสอบอัตนัยหรือความเรียง (Subjective
or Essay Test)
2. แบบทดสอบปรนัย (Objective Test)
รายละเอียดของแบบทดสอบแต่ละประเภทมีดังนี้
1. แบบทดสอบอัตนัยหรือความเรียง
เป็นแบบทดสอบที่ให้คำตอบโดยไม่มีขอบเขตของคำตอบที่แน่นอนไว้การตอบใช้การเขียนบรรยายหรือเรียบเรียงทำตอบอย่างอิสระตามความรู้ข้อเท็จจริงตามความคิดเห็นและความสามารถที่มีอยู่โดยไม่มีขอบเขตจำกัดแน่นอนตายตัวที่เด่นชัดนอกจากกำหนดด้วยเวลาการตรวจให้คะแนนไม่มีหลักเกณฑ์ตายตัวส่วนมากมักขึ้นอยู่กับผู้ตรวจสอบเป็นสำคัญแบบทดสอบนี้ยังแบ่งได้เป็น
2 แบบดังนี้
1. 1 แบบทดสอบจำกัดคำตอบซึ่งจะถามแบบเฉพาะเจาะจงแล้วต้องการคำตอบเฉพาะเรื่องผู้ตอบต้องจัดเรียงลำดับความคิดให้เป็นระเบียบเพื่อให้ตรงประเด็นดังนั้นผู้ออกข้อสอบจึงต้องระมัดระวังในเรื่องคำสั่งของโจทย์ขอบเขตเนื้อหาเวลาในการเขียนตอบและความสะดวกในการให้คะแนนได้มากกว่าแบบไม่จำกัดคำตอบเพราะแบบทดสอบแบบนี้จะมีเกณฑ์ต่างๆที่จะตัดสินคะแนนให้ยุติธรรมมากกว่าแบบไม่จำกัดคำตอบนอกจากนี้แบบทดสอบแบบอัตนัยประเภทจำกัดคำตอบนี้ยังตรวจได้ง่ายเพราะคำตอบที่ถูกอยู่ในกรอบที่กำหนดไว้ดังนั้นจึงเหมาะสมที่จะนำมาใช้เมื่อมีผู้เข้าสอบเป็นจำนวนมากและต้องการดูความสามารถในการเขียนของผู้ตอบด้วยตัวอย่างเช่น
•จงเปรียบเทียบลักษณะของการปกครองระบอบประชาธิปไตยและการปคการมาอย่างละ
3 ข้อ
•จงบรรยายขั้นตอนการทำน้ำให้สะอาดให้ครบทุกขั้นตอน
ฯลฯ
1.2 แบบทดสอบแบบไม่จำกัดคำตอบหรือแบบขยายความแบบทดสอบแบบนี้จะถามอความสามารถต่างๆโดยให้ผู้ตอบแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระซึ่งจะสามารถวัดสมรรถภาพทางความริเริ่มสร้างสรรค์เจตคติการประเมินค่าได้อย่างกว้างขวางปริมาณและคุณภาพของคำตอบจึงขึ้นอยู่กับคำถามและความรู้ที่สะสมไว้ว่ามีอยู่มากน้อยเพียงใดการกำหนดเวลาในการเขียนตอบจึงต้องกำหนดให้เหมาะสมกับเรื่องที่ต้องการทราบแบบทดสอบแบบนี้ส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักการรวบรวมความคิดการประเมินค่าและการใช้วิธีการต่างๆในการแก้ปัญหาซึ่งแบบทดสอบแบบนี้มีจุดอ่อนอยู่ที่การให้คะแนนเพราะเป็นการยากที่จะหาเกณฑ์ในการให้คะแนนได้ถูกต้องและชัดเจนเนื่องจากผู้ตอบมีอิสระในการคิดและเขียนโดยเสรีตัวอย่างเช่น
•จงเสนอโครงการในการพัฒนาบุคลิกภาพของนักศึกษาวิชาชีพครูให้มีบุคลิกภาพที่ดีตามความคิดเห็นของท่าน
•พุทธศาสนาจะช่วยพัฒนาสังคมได้อย่างรยังอธิบายพร้อมให้เหตุผลประกอบ
ฯลฯ
2. แบบทดสอบแบบปรนัย
แบบทดสอบแบบนี้จะกำหนดคำถามและคำตอบไว้ให้โดยผู้ตอบจะต้องอ่านด้วยความพินิจพิจารณาแล้วจึงพิจารณาคำตอบแบบทดสอบแบบปรนัยนี้มีลักษณะเด่นที่ผู้ตอบจะต้องใช้เวลาส่วนมากไปในการอ่านและคิดส่วนการตอบใช้เวลาน้อยการตรวจทำได้ง่ายใช้ใครศรวจกเคและสามารถใช้เครื่องสมองกลช่วยตรวจให้ได้เพราะผลที่ได้จากการตรวจจะไม่แตกต่างกันเลยแบบทดสอบแบบปรนัยนี้มีทั้งให้ผู้ตอบเขียนคำตอบเองกับเลือกคำตอบที่กำหนดให้โดยมีรายละเอียดดังนี้
2. 1 แบบทดสอบเขียนคำตอบ
ได้แก่
2.1.1 แบบทดสอบแบบตอบสันเป็นข้อสอบที่ผู้ตอบจะต้องหาคำตอบเองแต่เมนสั้น
ๆ เหมาะสำหรับใช้วัดความรู้ความจำเกี่ยวกับคำศัพท์ข้อเท็จจริงหลักการและหลักเกณฑ์ต่างๆให้ระลึกถึงสิ่งต่างๆที่ผ่านมาตัวอย่างเช่น
•ยานอวกาศลำแรกที่ลงบนดวงจันทร์
(ยานอพอลโล่ 11)
• 6 +9 จะได้คำตอบเท่าไร
(15)
•ป่าที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นเขียวชอุ่มตลอดปีเรียกว่าอะไร
(ป่าดงดิบ) ฯลฯ
2. 1. 2 แบบทดสอบแบบเติมคำมีลักษณะคุณสมบัติและการใช้คำเหมือนกันต่างกันที่การถามแบบเติมคำจะเว้นช่องว่างไว้ให้เติมคำตอบตัวคำถามจะเป็นประโยคไม่สมตอบสั้นจะเป็นประโยคสมบูรณ์ตัวอย่างเช่น
•ยานอวกาศลำแรกที่ลงบนดวงจันทร์…………………………… (ยานอพอลโล่ 11)
• 6 +9 =………………………………….จะได้คำตอบเท่าไร
(15)
•ป่าที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นเขียวชอุ่มตลอดปีเรียกว่า………………………. (ป่าดงดิบ)
2.2
ข้อสอบแบบเลือกคำตอบ ได้แก่
2.
2. 1 ข้อสอบแบบถูก-ผิดเป็นข้อสอบที่กำหนดให้ผู้ตอบเลือกคำตอบว่าข้อความที่กำหนดให้นั้นถูกหรือผิดเท่านั้นข้อสอบแบบนี้เหมาะสำหรับวัดผลการเรียนรู้ระดับความรู้ความจำลักษณะเช่นเดียวกับแบบตอบสั้นคือสร้างความง่ายผู้ตอบเสียเวลาตอบน้อยวัดเนื้อหาได้มากมักมีค่าความเที่ยงสูงแต่เปิดโอกาสให้เดาได้มากตัวอย่างเช่น
•ลายเสือไทถือว่าเป็นมรดกอันยิ่งใหญ่ทางวัฒนธรรม
•ตำบลเป็นหน่วยการปกครองที่เล็กที่สุด
•ผิวพื้นที่ขรุขระจะมีแรงเสียดทานน้อยกว่าผิวพื้นที่เรียบ
ฯลฯ
2.
2. 2 ข้อสอบแบบจับคู่เป็นข้อสอบให้เลือกจับคู่ระหว่างคำหรือข้อความสองแถวให้คำหรือข้อความทั้งสองนั้นสอดคล้องกันโดยมากมักจะใช้ข้อความว่ามีความหมายตรงกันข้อสอบชนิดนี้เหมาะสำหรับวัดความรู้เกี่ยวกับข้อเท็จจริงคำศัพท์หลักการความสัมพันธ์และการตีความในเรื่องเดียวกันตัวอย่างเช่น
•……………………… ก. ไม้กระดานที่พาดเอียงกับขอบรถ 1. ขวาน
•……………………….ข. เครื่องผ่อนแรงที่ใช้ยกรถ 2. คานดีดคานงัด
•………………………..ค. เครื่องมือผ่อนแรงในการตัดต้นไม้ 3. แม่แรง
•…………………………ง. เครื่องมือผ่อนแรงในการยกของพื้นที่สูง 4. รอก
•…………………………จ. ไม้กระดานกระดก 5. พื้นลาดพื้นเอียง
2. 2. 3 แบบทดสอบแบบเลือกตอบเป็นข้อสอบที่บังคับให้ผู้ตอบเลือกคำตอบจากที่กำหนดให้ปกติจะมีคำตอบให้เลือกตั้งแต่
3 ตัวเลือกขึ้นไปแต่มักไม่เกิน 6 ตัวเลือกข้อสอบชนิดนี้นิยมใช้กันทั่วไปใช้วัดผลการเรียนรู้ได้เกือบทุกระดับแม้จะสร้างความยากต้องเสียเวลาสร้างมากแต่คุ้มกับแรงงานและเวลาที่เสียไปเพราะสามารถเก็บไว้ใช้ได้ต่อไปตัวอย่างเช่น
• What
color is the tree?
a.
Pink b. Purple c. Green
•พ่อขุนศรีอินทราทิตย์มีพระนามเดิมว่าอย่างไร
ก.
พ่อขุนบางกลางหาว ข. พ่อขุนศรีนาวนำถม
ค.
พ่อขุนผาเมือง ง. พ่อขุนบานเมือง
กล่าวโดยสรุปแล้วแบบทดสอบหรือข้อสอบที่นิยมใช้ในการเรียนการแบบทดสอบแบบอัตนัยหรือความเรียงและแบบทดสอบแบบปรนัยต่างมีข้อดีและข้อจำกัดด้วยขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่นำไปใช้ตามตารางที่
23 ดังนี้
ตารางที่
23 ข้อดีและข้อจำกัดของแบบทดสอบแบบอัตนัยหรือความเรียงและแบบทดสอบแบบปรนัย
แบบทดสอบแบบอัตนัยแบบความเรียง
|
แบบทดสอบแบบปรนัย
|
1.
ผู้สอบมีจำนวนไม่มากนัก
2.
ต้องการสอบวัดความสามารถที่ซับซ้อน
3.
ต้องการส่งเสริมทักษะเชิงความคิดและการแสดงออก
4.
ผู้สอบต้องมีความสามารถในการเขียนและทักษะนอกจากผลสัมฤทธิ์ทางภาษาที่ดี
5.
ต้องการวัดทักษะและความรู้สึกนึกคิดอื่นด้วย
6.
มีเวลาออกข้อสอบน้อยแต่มีเวลาตรวจข้อสอบมาก
|
1.
ผู้สอบมีจำนวนมากๆ
2.
ต้องการนำข้อสอบไปวิเคราะห์และเก็บไว้ใช้อีก
3.
ต้องการสอบวัดรายละเอียดเนื้อหาย่อยๆ
4.
ไม่ต้องการวัดทักษะและความรู้สึกนึกคิดอื่นนอกจากวัดผลสัมฤทธิ์
5.
มีเวลาออกข้อสอบมากและต้องการผลสยบเร็ว
|
สรุป
การประเมินผลเพื่อปรับปรุงการเรียนการสอนจะทำให้ทั้งผู้สอนและผู้เรียนปรับปรุงตนเองเสมอเพราะการประเมินผลเพื่อปรับปรุงการเรียนการสอนอาศัยการประเมินตัวต่อตัวประเมินกลุ่มการทดลองภาคสนามการออกแบบการเรียนการสอนจะทำให้การประเมินในลักษณะนี้มีความชอบและใช้การประเมินแบบอิงเกณฑ์โดยประเมินผู้เรียนแต่ละคนเปรียบเทียบกับจุดประสงค์หรือจุดหมายระดับคุณภาพ
(เกณฑ์ที่กำหนดไว้นอกจากนี้ยังเป็นการเสริมสร้างนิสัยที่พึงปรารถนาให้แก่ผู้เรียนจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือกันเป็นพื้นฐานแล้วผู้เรียนจะติดนิสัยการให้ความร่วมมือกัน
"สังคมได้เยาวชนและผู้ประกอบวิชาชีพในสาขาต่างๆที่เห็นแก่ส่วนรวมมีความเป็นประชาธิปไตย"
ความคิดเห็นและปฏิบัติตามมติของกลุ่มแม้ว่าตนเองจะไม่เห็นด้วยรู้จักช่วยให้กลุ่มประสบ
"งานเพราะงานบางอย่างบางประเภทไม่อาจทำสำเร็จได้โดยลำพังผู้เดียวต้องอาศัยความซึ่งกันและกันส่วนกลุ่มที่มีการแข่งขันกันนั้นควรจะเป็นการเสริมแรงทางบวกคือการเพื่อที่จะเอาชนะใจตนเองมีวินัยในตนเองและพัฒนาตนเองในที่สุดมอกันจะทำให้บนประชาธิปไตยยอมรับประสบความสำเร็จในวามร่วมมือช่วยเหลือคือการแข่งขันกับตนเชิง
ตรวจสอบและทบทวน
ในการเขียนแผนจัดการเรียนรู้ขันการประเมินเพื่อปรับปรุงการสอนปฏิบัติการเขียนแผนจัดการเรียนรู้ด้วยใช้กระบวนการของทบทวนตนเองหลังสอนที่ช่วยให้เข้าใจการเรียนการสอนในการตอบสนองความต้องการ
4 ประการคือด้านวัตถุประสงค์ด้านค่านิยมด้านประสิทธิผลและด้านความพึงพอใจในตนเอง