แนวคิดและหลักการของการประเมินการเรียนการสอน
ความหมายของการประเมินการเรียนการสอน
สมหวัง
พิธิยานุวัฒน์ (2551, หน้า 20-22)
สรุปความหมายของการประเมิน (evaluation) ที่
มีผู้นิยามออกเป็น 2 ลักษณะที่สำคัญ คือ
ลักษณะที่ 1
การประเมินในความหมายที่เป็นการดำเนินการที่ประกอบด้วยการวัด (measurement)
และการใช้ดุลยพินิจ (judgement) การประเมินในลักษณะนี้หมายถึง
กระบวนการใช้ดุลยพินิจและ/ หรือค่านิยมและข้อจำกัดต่าง ๆ
ในการพิจารณาตัดสินคุณค่าของสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยการเปรียบเทียบผล
ที่วัดได้กับเกณฑ์ที่กำหนดไว้
ลักษณะที่ 2
การประเมิน หมายถึง กระบวนการที่ก่อให้เกิดสารสนเทศ (เชิงคุณค่า) เพื่อช่วย ให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจเลือกทางเลือกอย่างมีประสิทธิภาพสูงสูด
ดังนั้นผู้ประเมินจึงต้องศึกษาความต้องการ
ของผู้บริหารและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์จากผลการประเมินอย่างครบถ้วนเพื่อใช้เป็นแนวทาง
ในการวางแผนการประเมิน
ไทเลอร์ (Tyler,
อ้างถึงใน ราชบัณฑิตยสถาน, 2555, หน้า 206) นักการศึกษาคนส าคัญของ
สหรัฐอเมริกาเป็นผู้บัญญัติศัพท์การประเมินผลเป็นครั้งแรกว่า
“ระดับการบรรลุวัตถุประสงค์ของการสอน” โดยได้เขียนหมายเหตุไว้ว่า
ในอนาคตควรนิยามการประเมินผลในเชิงระบบ ซึ่งต่อมาไทเลอร์ได้หมายถึง
การประเมินระบบการเรียนการสอน ซึ่งประกอบด้วยการประเมินความต้องการจำเป็นในการจัดการเรียน
การสอน ความเหมาะสมของผลการเรียนรู้คือ สมรรถนะและคุณลักษณะที่พึงประสงค์
กลยุทธ์การจัด การเรียนการสอน พฤติกรรมการเรียนการสอน
อุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกในการเรียนการสอน บรรยากาศที่ส่งเสริมการเรียนการสอน
ตลอดจนประสิทธิผลและประสิทธิภาพของการเรียนการสอน
ดังนั้นการประเมินการเรียนการสอนที่จะกล่าวถึงในรายละเอียดในบทนี้จึงสอดคล้องกับแนวคิดของไทเลอร์
คือ การประเมินองค์ประกอบเชิงระบบของการเรียนการสอนที่ประกอบด้วยปัจจัยนำเข้า (input)
กระบวนการ (process) ผลผลิต (output) และการควบคุม (control)
วิธีการประเมินการเรียนการสอน
ในยุคแรก
การประเมินเป็นส่วนหนึ่งของการวัด และการวัดก็เป็นส่วนหนึ่งของการวิจัย ต่อมา การประเมินได้รับการพัฒนาเป็นศาสตร์
ซึ่งมีส่วนที่แตกต่างและส่วนที่เหมือนกับการวิจัย โดยที่การวัด
กลับเป็นส่วนหนึ่งของการประเมิน (สมหวัง
พิธิยานุวัฒน์, 2551, หน้า 22-23)
ดังนั้นในการออกแบบ
การประเมินเพื่อรวบรวมข้อมูลที่ต้องการนั้นจึงด้ำวิธีการและเทคนิคต่าง ๆ ที่นักวิจัยใช้ในการแสวงหา
ความรู้ เช่น การกำหนดปัญหาในการวิจัยหรือการตั้งคำถามวิจัย
การสร้างกรอบความคิดเชิงทฤษฎี
การตั้งสมมติฐาน การออกแบบวิจัย การรวบรวมข้อมูล การสุ่มตัวอย่าง
การวิเคราะห์ข้อมูลและ การตีความหมายข้อมูล เป็นต้น
นักทฤษฎีการประเมินแบ่งวิธีการประเมินเป็น
2 ขั้วที่ต่างกัน คือ วิธีเชิงระบบ และวิธีเชิงธรรมชาติ
ซึ่งทั้งสองวิธีมีความแตกต่างกันในด้านของเครื่องมือ
การเก็บรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ (ศิริชัย กาญจนวาสี, 2552, หน้า 109-110)
1) วิธีเชิงระบบ (systematic
approach) เป็นการประเมินที่ยึดมาตรการเข้าถึงคุณค่า
และเกณฑ์ตัดสินคุณค่าตามแนวคิดปรัชญาปรนัยนิยม (objectivism) ซึ่งมีความเชื่อว่าวิธีเชิงระบบเป็น วิธีที่เหมาะสมในการประเมิน
นักทฤษฎีในกลุ่มนี้พยายามเสนอรูปแบบการประเมินที่แสดงถึง
การวางแผนการดำเนินงานและวิธีดำเนินงานอย่างชัดเจน รัดกุมและเป็นระบบ
สนับสนุนการใช้เครื่องมือ ที่ได้มาตรฐานในการเก็บรวบรวมข้อมูล
พยายามควบคุมสถานการณ์และตัวแปรแทรกซ้อนที่อาจส่งผล กระทบต่อผลการประเมิน ท
าการวิเคราะห์ข้อมูลตามแผนการที่กำหนด และสรุปผลการประเมินตาม
เกณฑ์มาตรฐานที่ประกาศไว้ล่วงหน้า
2) วิธีเชิงธรรมชาติ
(naturalistic approach) เป็นการประเมินที่ยึดมาตรการเข้าถึง
คุณค่าและเกณฑ์ตัดสินคุณค่าตามแนวคิดปรัชญาอัตนิยม (subjectivism) ซึ่งมีความเชื่อว่าวิธีเชิง ธรรมชาติเป็นวิธีที่เหมาะสมในการประเมิน
นักทฤษฎีในกลุ่มนี้พยายามเสนอรูปแบบการประเมินที่มี ลักษณะที่ยืดหยุ่น
สนับสนุนการเก็บรวบรวมข้อมูลในสภาพธรรมชาติ โดยเน้นการสังเกตแบบไม่มี โครงสร้าง
พยายามวิเคราะห์ข้อมูลโดยอาศัยหลักการเชื่อมโยงเหตุผล การสังเกตและการวิเคราะห์
เบื้องต้นจะนำไปสู่การสังเกตและวิเคราะห์ในขั้นลึก ๆ ถัดไป
จนได้ข้อสรุปเกี่ยวกับคุณค่าของสิ่งที่ ประเมินโดยอาศัยความรู้
ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์เป็นเกณฑ์สำคัญในการสรุป
สำหรับการประเมินการเรียนการสอนนั้นจะใช้ทั้งสองวิธีร่วมกันโดยใช้วิธีเชิงระบบเป็นหลัก
โดยอิงเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของสิ่งที่ประเมินเป็นหลัก (gold-based) และข้อมูลที่รวบรวมเป็น
ข้อมูลเชิงปริมาณ
การประเมินโดยมุ่งเน้นวัตถุประสงค์เป็นหลักและใช้วิธีเชิงระบบเพื่อให้ได้คำตอบที่
ถูกต้องเชื่อถือได้
ทำให้นักประเมินจำเป็นต้องจำกัดตัวแปรที่ศึกษาเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายที่เป็น
วัตถุประสงค์หลักของการประเมินเท่านั้น โดยไม่นำปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจมีผลกระทบต่อผลการประเมินแต่
ไม่ได้อยู่ในเป้าหมายของการประเมินมาพิจารณา
ดังนั้นวิธีเชิงธรรมชาติจึงนำมาใช้เพื่อเสริมจุดด้อยของวิธี เชิงระบบ
การประเมินด้วยวิธีเชิงธรรมชาติจะมีความยืดหยุ่นมากกว่า
เป็นการประเมินที่เป็นอิสระจาก เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของโครงการประเมิน (gold-free)
ข้อมูลที่รวบรวมเป็นข้อมูลเชิงคุณภาพที่ใช้
ในการตรวจสอบผลลัพธ์ทั้งผลทางตรงและทางอ้อม
และการประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้
คาดหมายซึ่งอาจจะเป็นได้ทั้งทางบวกและทางลบ
การใช้วิธีเชิงธรรมชาติจึงเป็นการตัดสินคุณค่าของ การเรียนการสอนนอกเหนือจากเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้อย่างรอบด้านและครอบคลุม
จุดมุ่งหมายของการประเมินการเรียนการสอน
ในปัจจุบันแนวคิดในการประเมินมุ่งเน้นการประเมินเพื่อปรับปรุงงานหรือโครงการที่วางแผน
ไว้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจเกี่ยวกับโครงการหรืองานที่รับผิดชอบ
สำหรับ การประเมินการเรียนการสอนนั้นมีจุดมุ่งหมายเพื่อ
1)
การประเมินความต้องการจำเป็นทำให้ทราบว่าอะไรคือปัญหาที่แท้จริง และมีความสำคัญ
ในลำดับก่อนหลังอย่างไร
2)
ช่วยในการตัดสินใจเลือกวิธีการในการรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์และแปลผลข้อมูล ทำให้ได้สารสนเทศในการตัดสินใจเกี่ยวกับโครงการ
3)
ทำให้ทราบว่าการแก้ปัญหาบรรลุเป้าหมายหรือผลการเรียนรู้ที่ต้องการหรือไม่
4)
ช่วยตัดสินคุณภาพของกระบวนการเรียนการสอนและสื่อการเรียนการสอน
ประโยชน์ของการประเมินการเรียนการสอน
ผู้ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการประเมิน
ซึ่งประกอบด้วย ผู้เรียน ครู ผู้บริหารและผู้เกี่ยวข้อง
ได้รับประโยชน์จากการประเมินการเรียนการสอน ดังนี้
1)
ผู้เรียนได้รับประโยชน์ดังนี้
(1) ช่วยพัฒนาและปรับปรุงการเรียนรู้ของผู้เรียนทั้งในด้านความรู้และการปฏิบัติ
(2)
ได้สื่อการเรียนรู้ที่มีคุณภาพซึ่งช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนและตอบสนองความ
ต้องการของผู้เรียน
2)
ครูได้รับประโยชน์ ดังนี้
(1)
รู้ว่าอะไรเป็นความต้องการจำเป็น และสามารถจัดลำดับความสำคัญก่อนหลังของ
ปัญหาและความต้องการที่เกี่ยวกับการเรียนการสอนได้
(2)
ช่วยครูในการเลือกวิธีสอนและสื่อการเรียนการสอน
(3) ช่วยครูในการพัฒนาคุณภาพของการเรียนการสอน
ทำให้การเรียนการสอนน่าสนใจ
(4)
ช่วยให้ครูสามารถปรับปรุงและพัฒนาการเรียนการสอน
3)
ผู้บริหารและผู้เกี่ยวข้อง ได้รับประโยชน์ ดังนี้
(1)
ช่วยให้ผู้บริหารได้ทราบผลการดำเนินงานว่าอยู่ในสภาพใดเป็นที่น่าพอใจหรือไม่
(2)
ช่วยให้ผู้บริหารได้สารสนเทศในการวางแผนและพัฒนาการเรียนการสอน
(3)
ช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของโครงการว่าจะยุติหรือดำเนินการต่อไป
หรือไม่ อย่างไร