การออกแบบที่เป็นสากลในการเรียนการสอน (Universal Design for Instruction
: (UDI)
การนำแนวคิด UD มาใช้โดยเป็นการประยุกต์เพื่อการตอบสนองต่อความต้องการของผู้เรียน
ความต้องการหลากหลาย โดยมีหลักการว่า UD นั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจว่า
ผู้เรียนแต่ละลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างกัน และมีความต้องการที่แตกต่างกันด้วน
ซึ่งการนำ UD ไปใช้ในการศึกษาสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมทางการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้เรียนในแต่ละคน
และส่งเสริมผู้เรียนได้พัฒนาความสามารถของตนเองได้เต็มที่ตามศักยภาพ (Eagleton,
2008)
Scott, Shaw and McGuire (2001) ได้เสนอหลักการในการออกแบบการเรียนการสอนที่เป็นสากลไว้ 9 ประการ ในการออกแบบการสอนที่เป็นสากล (Universal Design for Instruction หรือ UDI)
ได้รับการพัฒนาจากการศึกษาค้นคว้างานเขียนและงานวิจัยเกี่ยวกับหลักการในการออกแบบที่เป็นสากล
Universal Design หรือ UD)
และการเรียนการสอนที่มีประสิทธิผลเพื่อเป็นบรรทัดฐานให้ครูผู้สอนใช้ในการครุ่คิดไตร่ตรอง
โดยนำไปใช้ได้หลายวิธีด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบหลักสูตรใหม่ ๆ
หรือใช้เพื่อพิจารณาสิ่งที่ทำอยู่แล้ว ณ ปัจจุบันก็ได้
แล้วแต่ความจำเป็นของผู้สอนแต่ละท่าน หลักการทั้ง 9 ประการนี้จะแสดงให้เห็นถึงปัญหาเกี่ยวกับการสอน
หรือเป็นแนวทางในการสอน ไม่ว่าจะเป็นการประเมินการเรียนรู้ของนักเรียน
หรือการขยายประสบการณ์การเรียนรู้
หรือการพิจารณาว่าจะสร้างบรรยากาศในห้องเรียนให้เหมาะสมกับทุกคนได้อย่างไร
ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าผู้สอนจะใช้หลักการทุกข้อกับการเรียนการสอนทุกด้านพร้อมกันได้
แต่เมื่อดูชั้นเรียนโดยองค์รวม จะพบว่าหลักการแต่ละข้อจะเข้ามามีบทบาท หลักการทั้งหมด
ประโยชน์สำหรับผู้สอนทุกท่าน ไม่เว้นแม้แต่ผู้มีประสบการณ์ช่ำชองจากวิชาสาขาต่าง ๆ
และมีประโยชน์สูงสุดสำหรับผู้สอนมือใหม่หรือครูผู้ช่วยสอนที่ต้องการคำแนะนำและแนวทางในการสอน
Scott, Shaw and McGuire (2003
: 369 – 379) ได้นำเสนอหลักการในการออกแบบการเรียนการสอนที่เป็นสากลไว้
9 ประการ ดังนี้
1.
ความเสมอภาคในการใช้งาน
(EQUITABLE USE)
เป็นการออกแบบเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้สำหรับคนทุกคน
ข้อมูลและอุปกรณ์ต้องทำงานได้อย่างราบรื่นโดยกลุ่มนักเรียนที่เยอะขึ้นและมีความหลากหลายมากขึ้น
หมายถึงการใช้อุปกรณ์ในการเรียนการสอนที่เหมือนกัน
2.
ความยืดหยุ่นในการใช้งาน
(FLEXIBILTY IN USE)
เป็นการออกแบบที่ทำให้ผู้เรียนแต่ละคนที่มีความหลากหลายได้ใช้ได้เช่นเดียวกัน
ต้องมีตัวเลือกหากผู้เรียนต้องการฟังเนื้อหาต้องทำได้
หรือจะพิมพ์ออกมาเป็นเอกสารที่จับต้องได้ก็ต้องทำได้
และยังต้องปรับขนาดและความคมชัดของตัวอักษรได้เพื่อประโยชน์ต่อผู้เรียนที่มีปัญหาด้านสายตา
ผู้สอนควรจัดเตรียมวิธีการสอนที่หลากหลาย เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้รับสาระความรู้เดียวกันในหลายรูปแบบ
3.
ง่ายยและเป็นธรรมชาติ
(SIMPLE AND INTUITIVE)
เป็นการออกแบบที่ทำให้ผลิตภัณฑ์นั้นใช้งานง่าย
สิ่งสำคัญในการเรียนรู้คือความเข้าใจเนื้อหาที่เรียน ไม่ใช่วิธีในการทำความเข้าใจ
(วิธีไม่สำคัญ สำคัญคือเข้าใจ) เมื่อผู้สอนจะนำหลักการนี้ไปใช้จึงต้องใช้ตารางคะแนนช่วย
(ในตารางจะเขียนว่าต้องเข้าใจอะไรอย่างไร
4.
สารสนเทศที่ช่วยให้รับรู้ได้
(PERCEPTIBLE INFORMATION)
เป็นการออกแบบที่ทำให้ผู้เรียนแต่ละคนเข้าถึงข้อมูลได้เหมือนกัน
ข้อมูลสารสนเทศความรู้จะถูกนำเสนอแก่ผู้เรียนในลักษณะที่สามารถเข้าถึงได้
5.
การยอมรับว่าจะมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น
(TOLERANCE FOR ERROR)
เป็นการออกแบบที่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้เรียน
ผู้สอนต้องเข้าใจว่าผู้เรียนมีประสบการณ์ที่แตกต่างกัน ผลก็คือประสิทธิภาพของการสอนก็ย่อมแปรผันไปเช่นเดียวกัน
6.
ความสามารถทางกายภาพที่ต่ำ
(LOW PHYSICAL EFFORT)
เป็นการออกแบบเพื่อให้ผู้ใช้มีความเมื่อยล้าในการใช้น้อยที่สุด
เมื่อความพยายามทางกายภาพไม่ได้เป็นส่วนสำคัญของหลักสูตรรายวิชา
7.
ขนาดและพื้นที่สำหรับการประยุกต์ใช้และการใช้
(SIZE AND SPACE FOR APPROACH AND USE)
เป็นการออกแบบเพื่อผู้ใช้ที่มีขนาดร่างกายที่แตกต่างกันใช้ได้อย่างสะดวก
พิจารณาความต้องการของผู้เรียนในพื้นที่ที่กำหนดไว้
8.
ชุมชนของผู้เรียน
(A COMMUNITY OF LEARNERS)
เป็นการออกแบบสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ สร้างสภาพแวดล้อม
ที่รู้สึกปลอดภัยและสนับสนันการโต้ตอบระหว่างนักเรียนด้วยกันเอง
9.
บรรยากาศในการสอน
(INSTRUCTIONAL CLIMATE)
เป็นการออกแบบสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้
ที่สภาพแวดล้อมได้รับการออกแบบมาเพื่อผู้เรียนทุกคน
สื่อสารให้นักเรียนรับรู้ว่าผู้สอนมีตั้งความคาดหวังไว้สูงสำหรับผู้เรียนทุกคน