กรมส่งเสริมการเกษตร
ได้เข้าร่วมกระบวนการจัดการความรู้ มาตั้งแต่ ปี 2548 นับถึงปัจจุบันก็ประมาณ 1
ปีกว่าๆ แล้ว ในช่วงเวลา 1 ปี ที่ผ่านมา
แทบไม่น่าเชื่อว่าเราได้ตกผลึกเรื่อง การจัดทำ KM ได้อย่างน่าอัศจรรย์ เราได้เรียนรู้ทั้งแนวคิด KM เรียนรู้การนำ KM ไปใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาคน
พัฒนางาน โดยการนำไปปฏิบัติจริงในจังหวัดนำร่อง 9 จังหวัด โดยใช้โมเดล
"ปลาทู" และตารางธารปัญญา ของ สคส. เป็นเครื่องมือ ซึ่งในตอนแรก
ที่ได้รับความรู้จากท่าน อ.ประพนธ์ ผาสุขยืด เมื่อวันที่ 7-8 มีนาคม 2548
ที่โรงแรมมารวยการ์เด้น กรุงเทพฯ ในตอนนั้นดิฉันยอมรับว่า ยังมีความรู้สึกเบลอ ๆ
และยังไม่แน่ใจนักว่า จะนำไปปฏิบัติจริงได้หรือ ผลจะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะเป็นห่วงจังหวัดนำร่องมากกว่าว่า
ได้ฟังการบรรยายเพียงครั้งเดียว จะนำไปลงมือทำได้หรือ จำได้ว่าได้ปรารภกับอาจารย์ประพนธ์ ว่า
น่าจะมีการอบรมเทคนิค การเป็นคุณอำนวยให้กับจังหวัดนำร่อง
เพิ่มเติมก่อนที่จะลงมือทำจริง
แต่คำตอบที่ได้คือ ให้ลงมือทำเลย เหมือนการขี่จักรยาน ให้ขึ้นจักรยานเลย
ล้มก็ไม่เป็นไร ถ้าเราอบรมอยู่เรื่อย ก็เปรียบเสมือนการเสพอยู่เรื่อย
แต่ไม่ลงมือทำสักที ก็ไม่มีประโยชน์
นี่เป็นข้อคิดอันแรก
ที่ได้จากอาจารย์ อาจารย์ได้จับเราขึ้นอานจักรยานแล้ว
และปล่อยมือให้เราขี่จักรยานเลย
ซึ่งกลยุทธ์ของอาจารย์ตอนนี้เป็นที่ยอมรับแล้วว่า ใช้ได้ผลดีมาก ทำให้จังหวัดนำร่องทั้ง 9 จังหวัดและคณะทำงาน KM ของกรมฯ ได้เรียนรู้กระบวนการจัดทำ KM อย่างไม่น่าเชื่อ
แม้ว่าผลลัพธ์ที่ได้ของจังหวัดนำร่องทั้ง 9 จังหวัด จะแตกต่างกัน
ซึ่งก็คงจะเป็นเรื่องธรรมดา ขึ้นอยู่กับบริบท และปัจจัยปัจจัยแวดล้อมของแต่ละจังหวัด
แต่สิ่งสำคัญที่ดิฉันคิดว่าแต่ละจังหวัดและคณะทำงาน KM ได้รับแน่นอน คือ การตกผลึกแนวคิด และกระบวนการ KM อย่างไม่ต้องสงสัย
เหมือนอยู่ในกระแสเลือดทีเดียว
ตอนนี้ใครพูดถึง KM เหรอ สบายมาก
สามารถอธิบาย ได้เป็นฉากๆ โดยเฉพาะจังหวัดนำร่องเดิม
9 จังหวัด ในปี 49 นี้ สามารถเป็นพี่เลี้ยงให้กับจังหวัดอื่น ๆ
ในลักษณะเพื่อนช่วยเพื่อน (Peer Assits) ได้แล้ว
"ตกผลึกแนวคิดและประสบการณ์ในการจัดการพื้นที่ทำกสิกรรม"
พ่อคำเดื่อง ภาษี